ถ้าเที่ยวมาดริดจนครบทุกซอกมุมแล้ว และยังมีเวลาอีก 1 วันเต็ม ลองแวะไปเที่ยวเมืองใกล้ๆ เปลี่ยนบรรยากาศบ้างดีมั้ยคะ บล็อกนี้มี 2 เมืองตัวเลือกมาแนะนำ คือ โทเลโด (Toledo) และ เซโกเบีย (Segovia) ทั้ง 2 เมืองไปไม่ยากเลยจากเมืองหลวงมาดริด มีทั้งรถบัสและรถไฟให้เลือกใช้บริการ เมืองมีขนาดไม่ใหญ่โตมากมายนัก อึดๆ หน่อยวันเดียวเที่ยว 2 เมืองยังได้เลย (เน้นว่าเวลาได้ แต่ต้องอึดหน่อยนะ 555)
สะพานส่งน้ำโรมันเก่าแก่ที่เซโกเบีย
โทเลโด
เมืองโทเลโดอยู่ห่างจากมาดริดไปทางตอนใต้เพียง 72 กิโลเมตร ในอดีตเคยเป็นเมืองหลวงของสเปน ก่อนจะย้ายมายังมาดริดในปี ค.ศ. 1561 ความพิเศษของโทเลโดคือ สร้างบนหน้าผาสูง มีแม่น้ำตาโฆ (Tajo) และตลิ่งสูงชันที่ล้อมรอบ เป็นด่านป้องกันทางธรรมชาติชั้นดี กระนั้นก็ยังมีกำแพงเมืองและป้อมปราการอัลกาซาร์ (Alcazar) ช่วยเสริมความแข็งแกร่งอีก 1 ชั้น ถือเป็นเพียงไม่กี่เมืองที่มีการวางผังเมืองเพื่อป้องกันตัวเองได้ดีขนาดนี้
สถานีรถไฟโทเลโด
แต่ขนาดนี้แล้วก็ยังถูกเปลี่ยนมือครอบครองหลายครั้ง จึงหลอมรวมอารยธรรมจากทั้งมัวร์ คริสเตียน และยิวเข้าไว้ด้วยกัน จนได้รับตำแหน่งเมืองมรดกโลกจากยูเนสโก ซึ่งกำแพงเมืองเป็นลัญลักษณ์ที่มีสเน่ห์ และโดดเด่นที่สุดสำหรับเมืองมรดกโลกแห่งนี้
ประตูเมืองชั้นนอก Puerta de Bisagra ทางฝั่งเหนือของเมือง
จากนี้คือขาขึ้น
ประตูเมืองชั้นใน Puerta del Sol
วิวเบื้องล่างสวยๆ ทำให้ไม่อยากไปไหน
เครื่องถม damascene
อัลกาซาร์
จากนั้นก็ถึงมหาวิหาร หรือกาเตดรัล บนยอดเขาใจกลางเมือง ด้านหน้าเป็นลานกว้างแบบที่ไม่คิดว่า จะพบได้ในเมืองที่เต็มไปด้วยถนนแคบๆ เช่นนี้ เลยทำให้มหาวิหารดูใหญ่โตและโอ่อ่าเป็นพิเศษ
กาเตดรัล
มุ่งหน้าต่อไปยังฝั่งตะวันตก ผ่านสุเหร่าเก่าและศาสนสถานของยิว ซึ่งมีเหลืออยู่เพียงไม่กี่แห่งในโทเลโดนี้แล้ว และถัดไปก็เป็นโบสถ์คาทอลิกในย่านยิวเก่า ชาน ฆวน เด โลส เรเยส ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างสุดท้ายก่อนจะขึ้นสะพาน Puente de San Martin ข้ามแม่น้ำ และออกนอกเมืองไปทางฝั่งตะวันตก
สุเหร่ายิวเก่าแก่
โบสถ์คาทอลิกในย่านยิวเก่า
ข้ามสะพาน Puente de San Martin ออกมานอกเมืองก็เห็นวิวแบบนี้เลย
ปีนป่ายอีกนิดจะได้วิวเมืองโทเลโดเต็มๆ แบบนี้ค่ะ
ออกจากเมืองมาแล้ว ก็ข้ามถนน และปีนป่ายขึ้นเนิน เพื่อมองย้อนกลับมาเก็บภาพสวยๆ จากมุมสูง (นิดนึง) ของเมืองเก่าที่ห้อมล้อมไปด้วยกำแพงในยุคกลาง และแม่น้ำตาโฆ ให้คุ้มกับที่อุตส่าห์ปีนกันขึ้นมา … จากนั้นก็กลับเข้าเมืองอีกครั้ง ขึ้นเขา ลงเขา ลัดเลาะไปตามกำแพงเมืองด้านเหนือ ซึ่งก็ชันน้อยลงนิดนึง และกลับมายังจุดเริ่มต้น เพื่อขึ้นรถไฟกลับมาดริด … ครึ่งวันก็เที่ยวครบแล้วค่ะ
กลับมาตั้งต้นที่มาดริดอีกครั้ง ซึ่งหากยังมีแรงเหลือๆ ไปต่อเซโกเบียกันเลยมั้ยคะ คราวนี้ไปทางเหนือค่ะ เพียง 80 ก.ม. เท่านั้นจากมาดริด และก็เป็นเมืองมรดกโลกยูเนสโกที่ควรค่าแก่การไปเยือนอีกแห่งหนึ่ง
สัญลักษณ์สำคัญของเมืองเซโกเบีย ก็คือสะพานส่งน้ำเก่าแก่ อะกวยดุกโต (Acueducto) ที่สร้างขึ้นตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 1 ตั้งอยู่บนลานกว้างอะโซกวยโฆ (Plaza del Azoguejo) ที่พลุกพล่านไปด้วยนักท่องเที่ยว อะกวยดุกโตนี้อลังการพอตัวเลยทีเดียว มีจำนวนโค้งที่ยังคงหลงเหลืออยู่ 165 ช่วง และสูงถึง 29 เมตร ทำหน้าที่ลำเลียงน้ำสู่ป้อมปราการบนยอดเขา ซึ่งใช้งานได้จริงถึงศตวรรษที่ 20 นับเป็นสิ่งก่อสร้างโรมันที่ใหญ่ที่สุดที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในสเปน โดยแท่งหินที่นำมาตั้งเรียงจนเป็นสะพานส่งน้ำนี้ ไม่มีปูนทาหรือตะปูตอกยึดให้ติดกันเลย เลิศมั้ยล่ะคะ วิทยาการโรมันสมัยเมื่อพันปีก่อน
ไร้ปูน ไร้ตะปู แค่เอามาวางเรียงกันให้ได้มุมและโค้งที่เหมาะสม เลิศมาก
หลังจากปีนป่ายสะพานส่งน้ำเก่าแก่จนหนำใจ ก็เข้าสู่ใจกลางเมืองเก่า ซึ่งก็ขาขึ้นอีกแล้ว แต่ไม่วกวนและชันโหดเท่าที่โทเลโดนะ พวกเรามุ่งหน้าไปทางตะวันตก ผ่านมหาวิหารแห่งเซโกเบียซึ่งก็ใหญ่โตใช้ได้เลย และมาหยุดลงที่สิ่งก่อสร้างเก่าแก่ทางขอบตะวันตกสุดของเมือง คือ อัลกาซาร์แห่งเซโกเบีย (Alcázar of Segovia) ซึ่งเป็นทั้งป้อมปราการและพระราชวังเก่าแก่ อย่างกับปราสาทในเทพนิยาย จากแถวนี้มองเห็นวิวยอดเขากวาดาร์รามา (Guadarrama) ชัดเจนทีเดียว
มหาวิหารแห่งเซโกเบีย
บรรยากาศในเมืองเก่า
ปราสาทเทพนิยาย Alcázar of Segovia
พร้อมแล้วก็เข้าไปชมข้างในกันค่ะ พื้นที่ภายในแบ่งเป็นห้องหับใช้สอยต่างๆ แต่ละห้องตกแต่งได้ตระการตามาก กระจกสีส่วนใหญ่เป็นรูปพระเจ้าแผ่นดินในสมัยก่อน นอกจากนี้ก็มีชุดอัศวิน เสื้อเกราะ และอาวุธโบราณ จัดแสดงให้เห็นกันจะๆ
ยังค่ะ ยังไม่จบ เพราะยังไม่ได้ออกแรงปีนป่ายเลย ไปชมหอคอย Tower of John II ศิลปะแบบโกธิคอันโดดเด่นของปราสาทกันต่อสิคะ อันที่จริงหอคอยนี้ ในสมัยนั้นสร้างขึ้นเพื่อเป็นคุกหลวงนะ ส่วนข้างบนสุดเป็นหอสังเกตุการณ์หรือ watchtower ทางขึ้นหอคอยเป็นบันไดวน สูงด้วย แคบด้วย เดินสวนกันทีก็ต้องทำตัวลีบๆ ไป (ทหารสมัยก่อนตัวเล็กกระทัดรัดนักหรืองัย) แต่เมื่อไต่ถึงบนยอดแล้ว ความเหนื่อยก็หายเป็นปลิดทิ้ง เพราะลมพัดเย็นสดชื่น และวิวทิวทัศน์ก็งามงด ได้ใจไปเลยเต็มๆ ... ชอบที่สุดเลย ปราสาทเทพนิยายแห่งนี้ … จบทริปครึ่งวัน ที่เที่ยวได้แบบชิลๆ อิ่มตา และสบายใจมากค่ะ
รับลมเย็นจากบนยอดหอคอย
มองเห็นเมืองเก่าสวยๆ จากบนยอดหอคอย Tower of John II, Alcázar of Segovia
ถ้ามีเวลา ลองไปกันดูนะคะ ทั้งโทเลโด และเซโกเบีย เดินทางแสนสบาย เที่ยวได้อีกหลายบรรยากาศ … ที่ไม่ซ้ำกับในมาดริดเลย
ประตูเมือง อีกครั้ง
บ๊าย บาย เซโกเบีย ชอบจริงๆ เลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น