My travel diary: ทริปตุรกี ตอน 1

แม้จะเป็นหนึ่งในทริปยุโรปแบบจัดเองจัดเต็มของมิสกะโปโล แต่จริงๆ มีแค่อิสตันบูลติ่งเดียวเท่านั้นที่อยู่ในยุโรป ที่เหลือของทริป 8D7N (นับเฉพาะวันเที่ยวจริง ยังไม่รวมวันเดินทาง) ในช่วงหยุดยาวสงกรานต์นี้ เราตระเวนกันอยู่ทางฝั่งเอเชียเกือบทั้งหมด ซึ่งด้วยพื้นที่ๆ กว้างใหญ่ไพศาล แต่อยากจะเที่ยวให้ครบในทริปเดียว เลยต้องอาศัยทั้งต่อเครื่องในประเทศ (ซึ่งเป็น low cost) และขับรถเองปนๆ กันไป โดยจากสนามบินนานาชาติที่ Istanbul เรานั่งเครื่องไปลงที่ Izmir จากนั้นก็รับรถและขับกันยาวๆ ตระเวนไปตามเมืองท่องเที่ยวชื่อดังและเมืองแวะพักต่างๆ ทั้ง Selçuk, Pamukkale, Konya, Sultanhanı, Göreme จนมาคืนรถที่ Nevsehir รวมระยะทางขับเองขำๆ แค่พันกิโลนิดๆ (แต่ไม่ขำเลยตอนโดนตำรวจเรียกปรับ) และต่อเครื่องกลับมา Istanbul ปิดทริปกันชิลๆ รับอากาศดีและลั้นลากับทิวลิปสีสวยๆ ต้อนรับฤดูใบไม้ผลิแบบลงตัว

ต่อเครื่องจาก Istanbul ไป Izmir

https://www.facebook.com/Travelismylifeblog/

Booking.com

บ้านพักที่ Selçuk น่ารักมากๆ แถมทำเลดีเยี่ยม และอาหารอร่อย

ทริปนี้ไม่ต้องการวีซ่าค่ะ แค่ตั๋วเครื่องบินก็เปรี้ยวได้แล้ว … วันแรกเดินทางมาถึงสนามบิน Istanbul แต่เช้าตรู่ รอต่อเครื่องหน่อยๆ เพื่อเดินทางไปยังเมือง Izmir ที่ตั้งอยู่ทางซีกตะวันตกของประเทศติดทะเลเอเจี้ยน ในเขตที่เรียกว่า Aegean ซึ่งอุดมไปด้วยกลิ่นอายของกรีกและโรมันผ่านหน้าประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 5 พันปี ใช้เวลาบินแค่ 1 ชั่วโมง ก็มาถึงเรียบร้อยตอน 10 โมงเช้า รับกระเป๋ารับรถเสร็จก็ขับต่ออีก 80 กิโลเมตรลงใต้มายังเมือง Selçuk และเช็คอินโรงแรมน่ารัก (และทำเลเยี่ยม) เป็นที่เรียบร้อย ก็ได้เวลามื้อเที่ยงซะแล้ว มื้อแรกนี้เลยจัดหนักในราคากันเองที่ร้านอร่อยในละแวกตลาดแถวนั้น ซึ่งเป็นตลาดท้องถิ่น เดินย่อยอาหารสนุกและมันดีทีเดียว (จริงๆ แล้ว Troy ก็อยู่ในเขต Aegean เช่นกัน แต่อยู่เหนือจาก Izmir ขึ้นไปอีกเยอะเลย ดูทรงแล้วไม่น่าคุ้มเหนื่อยขับรถไปกลับ เพื่อชมแค่ม้าไม้ตัวเดียว เลยตัดออกฉับๆ ค่ะ)

ร้านอาหารเยอะแยะ

ตลาดก็คึกคัก

ขายชีส ขายเนย

ขายพรมก็มา

เสาเก่าๆ แถวนั้นกลายเป็นรังนกซะละ

เวลาที่เหลืออยู่ก็ไปเยี่ยมชมซากปรักหักพังของโบสถ์ Basilica of St. John ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับที่พัก เป็นออร์เดิร์ฟของการเที่ยวจริงจังในทริปนี้เป็นที่แรก จากนั้นก็หมดแรง (เริ่มออกอาการ jet lag) ทำให้ที่ว่าจะไปสำรวจชายหาด Pamucak Beach ก็ล้มพับไป แล้วเข้าบ้านอาบน้ำพักผ่อนแทน รอปลุกมาชิม BBQ มื้อเย็นฝีมือเจ้าของบ้านเลยดีกว่า … อร่อย

ทางเข้าโบสถ์ St. John

ซากเสาโรมัน

กระโดดตลอด

คุณตาคุณยายคู่นี้น่ารักจัง

กำลังเตรียมเตา BBQ

เครื่องเคียงอื่นๆ น่ากินสุดๆ

วันถัดมาหน้าตาสดใสพร้อมเที่ยวต่อกันแล้วทุกคน ก็เลยเข้าสู่ไฮไลท์หลักของพื้นที่แถบนี้ คือ Ephesus Archeological Site ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากที่พัก (แต่เดินเองเหนื่อยแน่ 4 กิโลแน่ะ ขับรถไปดีกว่า 55) โดยเอฟฟิซุสเป็นเมืองสถาปัตยกรรมโบราณอันเกิดจากฝีมือมนุษย์ล้วนๆ ความยิ่งใหญ่ของเมืองดูได้จากซากปรักหักพังที่ประกอบร่างเป็นชิ้นส่วนต่างๆ ของเมือง ไม่ว่าจะเป็น Great Theater, Library of Celsus, Temple of Hadrian, Gate of Hercules, Colonnaded Street และอื่นๆ อีกมากมาย (หรือจะดูจากความหอบแฮ่กของพวกเราก็ได้)

เช้านี้ก็อร่อย

ทางเข้า Ephesus ร่มรื่นมาก

สีสันฤดูใบไม้ผลิ ... สวย

มองจากตรงนี้ก็อลังการมากแล้ว

Library of Celsus

เดินไปตรงไหนก็เจอแต่แมว แมว และแมว จนเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า เอฟฟิซุสถูกครอบครองโดยพลพรรคน้องแมวหรืออย่างไร … นอกจากนี้ยังเจอหลักฐานแสดงให้เห็นด้วยว่า สมัยก่อนนู้นมีห้องน้ำแบบนั่งให้ใช้กันแล้วด้วยนะ ไฮโซมั้ยล่ะ

น้องแมว

เมี้ยวๆ

เมี้ยวหม่าวๆ

อาณาจักรยิ่งใหญ่นี้ของตัวเองหราจ๊ะ

จริงๆ เป็นห้องสุขาของน้องแมวรึเปล่าหนอ

และสงสัยว่าหน้าตาเอเชียอย่างพวกเราจะเป็นที่ถูกใจแขกตุรกีแถวนี้ เดินๆ ไปมีแต่คนมองและส่งยิ้มให้ ไม่รู้ว่ายิ้มตลก ยิ้มเยาะ หรือยิ้มทักทายกันแน่ สุดท้ายมีกลุ่มเด็กนักเรียนที่มาทัศนศึกษาแถวนั้นเดินมาขอถ่ายรูปด้วย ว๊ายยย กรี๊ดดด ทำตัวไม่ถูก หยั่งกะเซเลบ (หรือของประหลาด) 55

The Great Theater

เด็กมาขอถ่ายรูปด้วย หยั่งกะเซเลบ

จากนั้นก็ได้เวลาเดินทางต่ออีก 190 ก.ม. ย้ายไปเมือง Denizli ใกล้กับแหล่งสปาน้ำแร่โบราณ Hierapolis และปราสาทปุยฝ้าย Pamukkale ซึ่งก็ยังอยู่ในเขต Aegean อีกเช่นเดียวกัน (ติดขอบเลย ไปต่ออีกนิดก็ข้ามเขตละ) และหามื้อเที่ยงตามโชคชะตาระหว่างทาง … แต่ก็เป็นโชคชะตาที่อร่อยมากๆ (อีกแล้ว)

โชคชะตาแสนอร่อยระหว่างทาง

ที่พักของเราคืนนี้ที่ Pamukkale

ไฮโซอ่ะ มีสระว่ายน้ำด้วย

เมืองอยู่ด้านบน น้ำไหลลงมากลายเป็นหน้าผาแคลเซียมสีขาว

ตอนนี้เมืองเหลือแค่นี้ละ

เช็คอินโรงแรมเรียบร้อย พวกเราก็มุ่งหน้าไปยัง Pamukkale ซึ่งเป็นภูเขาหินปูนสีขาวลดระดับเป็นชั้นๆ อยู่ติดกับ Hierapolis โดยที่มาของสีขาวนี้ ก็เกิดจากน้ำแร่ร้อนๆ ปล่อยคราบแคลเซียมทิ้งไว้ระหว่างทางตอนไหลลงเขาจากบนยอดเมืองสูงๆ ยังงัยล่ะ แถมธรรมชาติยังเป็นดีไซเนอร์สุดชิค ออกแบบให้เป็นคราบขาวอย่างเดียวไม่พอ อุตส่าห์ทำเป็นสเต็ปขั้นบันได และมีน้ำขังเป็นบ่อเล็กบ่อน้อยไว้แต้มสีฟ้าๆ ให้ Pamukkake สวยน่ารักยิ่งขึ้นไปอีก เค้าเลยตั้งชื่อเล่นให้ว่า Cotton Castle หรือปราสาทปุยฝ้าย จนชื่อเสียงโด่งดังยิ่งกว่า Hierapolis ไปเสียแล้ว … แนะนำว่าให้พกถุงไปใส่รองเท้าและถุงเท้าไปด้วย เพราะจะต้องอดใจไม่ไหว ได้ลงไปเดินเล่นลุยน้ำอุ่นๆ แถวนั้นแน่นอน

แคลเซียมปุยฝ้ายขาวๆ นี้ต่างหากที่เรียกแขก (และไม่ใช่แค่แขก เอเชียก็มา อิอิ)

ลดหลั่นเป็นชั้นๆ สวยงาม

พาร์คด้านบนมีทางเดินไม้ให้เดินดีๆ

แต่ไม่พอ ต้องถอดรองเท้า ลุย!

แต่ … เอ … สงสัยว่าประชากรแมวจะเดินทางมาไม่ถึงแถวนี้ เพราะบนภูเขาแคลเซียมสีขาวๆ ลูกนี้ พบแต่ประชากรน้องหมา มาพักผ่อนดื่มน้ำและเล่นน้ำประปราย ไม่รู้ว่ามาจากไหนหรอกนะ แต่ก็เป็นที่ยืนยันได้ว่าแถวนี้ไม่ใช่ถิ่นน้องแมวแน่ๆ ละ 555

เค้ามาเล่นน้ำ

ชอบน้ำอุ่น

2 วันนี้เที่ยวเขต Agean ครบหมดเท่าที่อยากเที่ยวแล้ว คืนนี้นอนหลับพักผ่อนเต็มอิ่มในเมือง Denizli แล้วเตรียมขับรถกันยาวๆๆๆๆ แบบที่ยาวจริงจังที่สุดของทั้งทริปนี้แล้วได้ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ส่วนคืนนี้ราตรีสวัสดิ์ฝันดีนะคะ