มิสกะโปโล และ ทิปิจัง ขอนำเสนอ บล็อกประสบการณ์ท่องเที่ยว ทั้งในและต่างประเทศ ที่จะแบ่งปันเรื่องราวดีๆ ให้กับเพื่อนๆ ทุกท่านที่สนใจค่ะ

16 กันยายน 2561

Side trip ที่แถมมากับเสียมเรียบมาราธอน


เป็นทริปล้างตาจากเมื่อ 10 ปีที่แล้วที่ไปเสียมเรียบครั้งแรก แล้วกล้องยังไม่เด็ดสะระตี่เท่าตอนนี้ สิ่งที่เหมือนกันของทั้ง 2 ทริปคือยังคงจ้างไกด์ท้องถิ่นส่วนตัวพาเที่ยววัดอีกตามเคย ซึ่งก็สะดวกสบายดี จัดมาเป็นแพ็คเลย ทั้งรถ คนขับ และไกด์ ในราคาที่ไม่ได้แพงนัก เป็นไกด์ถูกกฏหมายมีไลเซนส์ หาได้ทั่วไปตามอินเตอร์เน็ท ยิ่งทริปนี้ไปกันหลายคนค่ารถอาจจะแพงขึ้นหน่อยๆ เพราะต้องใช้รถตู้ แต่ค่าคนขับ ค่าไกด์ จะไปกี่คนเค้าก็คิดราคาเดียว พอหารแล้วก็เรียกว่าคุ้มสุดๆ


และทริปนี้เราไม่ได้จะมาเที่ยวกันเล่นๆ นะคะ สมาชิกส่วนใหญ่ (ยกเว้นมิสกะโปโล อิอิ) มาลงวิ่งในงาน Angkor Wat International Half Marathon ด้วยแน่ะ ก็เลยต้องเผื่อเวลาไปรับบิ๊บ นอนเร็ว และตื่นไปวิ่งกันหน่อยๆ ไม่เน้นเที่ยวหนักและเหนี่อยจนเกินไป เลยจัดไปแค่ 4 วัดไฮไลท์ จากนั้นก่อนกลับก็นั่งสามล้อเที่ยวเมืองลั้นลากันเองตามอัธยาศัย ซึ่งก็สนุกดีและชิลสุดๆ แถมไม่อัดแน่น มีเวลาให้เบรคช่วงกลางวัน กลับมางีบเอาแรงที่โรงแรมหลบแดดร้อนๆ ได้อีก 55

 Find MsKapolo and Behind-The-Design-Story on Facebook

https://www.facebook.com/Travelismylifeblog/

Booking.com

ทริป 4D3N ครั้งนี้ไปปักหมุดหลวมๆ กันตรงไหนบ้าง ตามมาดูรูปกันเลยค่ะ

1. วันแรกของการเดินทาง นั่งไฟลท์ช่วงสายๆ ตามประสาคนขี้เกียจตื่นเช้า กว่าจะมาถึง เช็คอิน ไปรับบิ๊บ และซื้อ temple pass ก็บ่ายแก่ๆ แล้ว เลยเที่ยวกันสบายๆ แค่วัดเดียวพอค่ะ คือปราสาทตาพรม (ตาปรุม) ซึ่งแม้เวลาจะผ่านมาเป็น 10 ปีแล้ว จุดขายจากที่เคยเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนต์เรื่อง Tomb Raider ก็ยังคงขายได้เหมือนเดิม แม้ว่าตอนนี้จะมีไม้กั้นไม่ให้เข้าใกล้จุดเสี่ยงมากจนเกินไป เทียบกับเมื่อ 10 ปีที่แล้วที่ปีนป่ายกันได้สบายๆ … แต่ก็คงเพราะสบายเกินไปเนี่ยแหละ ที่ทำให้เค้าต้องเอาไม้มากั้นรัวๆ … แหม ก็โบราณสถานเก่าแก่อายุเกือบพันปีเลยนะจ๊ะ

ปราสาทตาพรม สวยแต่ไกล

โพรงนี้ใหญ่มาก

มุมมหาชน ... มีไม้กั้น เข้าใกล้ไม่ได้ซะละ

ถ่ายไกลๆ ก็ได้อยู่

รากไม้ชอนไชไปทั่ว

ปราสาทตาพรมเป็นวัดพุทธศิลปะแบบบายอน ที่สร้างขึ้นในปีพ.ศ. 1729 โดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 สร้างเพื่ออุทิศถวายแก่พระราชมารดา และขยายเพิ่มเติมในสมัยพระเจ้าอินทรวรมันที่ 2 จุดเด่นใหญ่ๆ ก็คือเค้าทำนุบำรุงให้คงสภาพตามธรรมชาติไว้มากที่สุด ทำให้ต้นไม้ขนาดยักษ์ เช่นต้นสะปง แผ่รากปกคลุมไปทั่ว เหมือนเดินเที่ยวในป่าเลย … ซึ่งวันนี้ก็เที่ยวแค่นี้พอค่ะ สมาชิกส่วนใหญ่ต้องรีบเข้านอนเตรียมวิ่งพรุ่งนี้เช้า

มองบน มีสเน่ห์อีกแบบ



ทางออกแล้วค่ะ

2. แล้วพอวิ่งเสร็จ ก็กลับมาเติมพลังที่โรงแรม อาบน้ำสดชื่น เตรียมเที่ยวต่อช่วงบ่ายๆ นู่นเลย ซึ่งแดดก็แรงได้ที่ทีเดียว ปักหมุดแรกหลังวิ่งไกด์พาไปปราสาทบายอน ที่สร้างขึ้นในปีพ.ศ. 1724 โดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 อีกเช่นเดียวกัน เพื่อเป็นศูนย์กลางของเมืองหลวงที่สถาปนาขึ้นใหม่ คือนครธมนั่นเอง เป็นปราสาทเพียงแห่งเดียวที่สร้างโดยไม่มีกำแพง (เพราะใช้กำแพงเมืองแทน) ซึ่งใหญ่โตอลังการมาก (จะเป็นรองก็แค่นครวัด) เดินเยอะแน่นอน … แถมยังเป็นการเดินท้าแดด เพราะบนปราสาทไม่มีร่มไม้ให้หลบแดดได้เลย

เข้าจากประตูฝั่งตะวันออก มีสระน้ำ และเป็ดว่ายน้ำเล่น

หลังจากนี้ไป ไม่มีร่มไม้ละ


ยิ้มแบบบายอน

มุดตามช่องหน้าต่าง

นางอัปสราสวยๆ 

 Find MsKapolo and Behind-The-Design-Story on Facebook

ครุฑก็มี

3. หลังจากนั้นก็ไปอู้ตากแอร์ที่ร้านขนมใกล้ๆ และไกด์ให้โอกาสนั่งคิดว่าจะไปชมพระอาทิตย์ยามเย็นกันที่ไหนดี ซึ่งตัวเลือกทั่วไปก็จะมีพนมบาแค็ง ภูเขาขนาดย่อมที่ตั้งโดดๆ อยู่กลางเมืองพระนคร และมีปราสามบาแค็งตั้งอยู่บนยอด นักท่องเที่ยวนิยมปีนขึ้นไปชมวิวพระอาทิตย์ตก โดยมีปราสาทหินสวยๆ รอบๆ เป็นฉากหลัง แต่ต้องออกแรงเดินและปีนป่ายเยอะอยู่ แถมยังต้องแย่งชิงทำเลดีๆ กับบรรดานักท่องเที่ยวที่แห่กันไปจับจองพื้นที่ล่วงหน้าอีก … ส่วนอีกหนึ่งตัวเลือกที่เหนื่อยน้อยกว่า ก็คือปราสาทนครวัด ที่ไกด์บอกว่าตอนเย็นจะเปลี่ยนสีได้ จากสีหินดิบๆ เป็นสีทองเหลืองอร่าม ฟังดูเข้าท่าดีมั้ยล่ะคะ ไม่เหนื่อยด้วย เดาไม่ยากเลยว่าจะเลือกอะไร 555

ที่นครวัดเย็นวันนี้ คนเยอะใช่เล่น (ตรงกับงานเทศกาลท้องถิ่นพอดี)

มุมมหาชน ยังเป็นสีธรรมดา

เปลี่ยนสีได้จริงๆ ด้วย

กระโดดซะหน่อย

แถมมืดๆ หลังพระอาทิตย์บ๊ายบายไปแล้ว ยังมียิงเลเซอร์เป็นมหกรรมแสงสีเสียงสวยงามได้อีก ไกด์บอกว่าจัดเป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ย พร้อมๆ กับงานวัดที่ลานฝั่งตรงข้าม อลังการมากมาย เพราะท่านฮุนเซนเลือกแล้วว่าเป็นช่วงที่นักข่าวต่างชาติมากันเยอะแน่ (ก็แหงล่ะ เล่นจัดต่อจากงานมาราธอนระดับอินเตอร์ซะขนาดนี้) … เราเลยโชคดีมีโอกาสชมลิเกท้องถิ่นด้วยแว้บๆ :)

มหกรรมแสงสีเสียงตอนมืดๆ พระจันทร์เต็มดวงพอดี อลังการมากมาย

ตอนพระอาทิตย์ขึ้น ก็มาที่มุมเดิมๆ อีกครั้ง

แล้วเช้าวันถัดมาก็ยังมาชมพระอาทิตย์ขึ้นที่เดิมได้อีก กลับมาโรงแรมรับประทานอาหารเช้าเสร็จได้เวลาเที่ยว ก็กลับมาเที่ยวกันที่ปราสาทนครวัดเต็มๆ อีกครั้ง เพราะเมื่อวานยังไม่ได้เที่ยวข้างในเลย … รักเหลือเกิน มาตั้ง 3 รอบ 555 … ปราสาทนครวัดนี้เก่าแก่กว่าปราสาทบายอนอีกนะคะ เป็นศิลปะนครวัด สร้างขึ้นในปีพ.ศ. 1656 โดยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 สมัยนี้ยังไม่ใช่ยุคของพระพุทธศาสนา ปราสาทนครวัดถูกสร้างขึ้นเพื่ออุทิศถวายพระวิษณุหรือพระนารายณ์ เลยไม่มียิ้มแบบบายอนให้ชม (เอิ่ม คนละยุคสมัยเลยนะ) แต่มีภาพแกะสลักที่ยาวที่สุดในโลกเป็นไฮไลท์สำคัญ

ต้นไม้ใหญ่โต สูงชะลูด

วันนี้เที่ยวจริง เปลี่ยนมาเข้าจากด้านข้าง

เห็นพระปรางค์กันชัดๆ

เงาต้นตาลที่กลางสนามหญ้า

ภาพแกะสลักตรงระเบียงคด

นางอัปสราที่นี่ก็สวย


4. ถัดมาช่วงบ่ายก็ไปต่อกันที่ปราสาทบันทายสรี ซึ่งเก่ายิ่งขึ้นไปอีก สร้างขึ้นในปีพ.ศ. 1510 ด้วยหินทรายสีชมพูเนื้อละเอียด ทับหลังมีความชัดเจนมากๆ ที่ด้านหน้าตรงทางเข้ามีภาพอธิบายและเปรียบเทียบศิลปะเขมรในยุคต่างๆ กับสิ่งก่อสร้างสำคัญอื่นๆ ทั่วโลก ซึ่งมิสกะโปโลชอบมากเลย เข้าใจง่าย ดูดีมีสาระสุดๆ

 Find MsKapolo and Behind-The-Design-Story on Facebook

เปรียบเทียบกับที่อื่นๆ ทั่วโลก

เข้าไปแล้วจะเจออะไรตรงไหนมั่ง

อธิบายได้ดีมาก ชอบสุดๆ

โทนสีชมพูแดง

เก่าแก่มาก ขนาดที่กำแพงฝั่งนี้เอียงกระเท่เร่ ต้องค้ำยันกันดีๆ


โซนห้องสมุด หรือหอวรรณกรรม :)

มี the guardian ประจำแต่ละทิศ

ทับหลังลวดลายชัดมาก สวยๆๆ

แต่แดดก็ร้อนเหลือเกิน จะแรงไปถึงไหนเนี่ย 555 เที่ยวไหนต่อไม่ไหวแล้ว บอกไกด์พาไปเดินตากแอร์ที่ห้างในเมืองแทน ซึ่งแถวนั้นก็มีอยู่ห้างเดียวนั่นแหละ ทำให้คิดถึงเซ็นทรัลวังบูรพาสมัยเมื่อซักประมาณ 30 ปีก่อนว่างั้น

5. จบคอร์สที่ต้องพึ่งพาไกด์แล้วล่ะ เย็นๆ เราเรียกสามล้อนั่งไปหามื้อเย็นเด็ดๆ และเดินเล่นชิลๆ ที่ Pub Street … ซึ่งแค่ชื่อก็ดูเหมือนจะไม่น่าพาเด็กๆ ไป แต่จริงๆ ไม่มีอะไรอึมครึมนะ ร้านอาหารธรรมดาเยอะแยะ สีสันสวยงามน่าเดินเล่นดี ยิ่งเวลาไม่มีแดด เดินเท่าไหร่ก็ไม่เหนื่อย 55


สีสันตอนดึกๆ ของ Pub Street น่าเดินดีจัง

ขนมครกก็มี

หวาาา ... ลาก่อย

ข้ามไปอีกฝั่ง

เป็นตลาดขายของเหมือนๆ กันเต็มพรึ่ด

วันสุดท้ายก่อนกลับ มีเวลาอีกตั้งครึ่งวันกว่าๆ เลยเรียกสามล้อกลับมาที่ Pub Street อีกครั้ง ซึ่งสีสันตอนกลางวันน่าเดินกว่าตอนมืดๆ เยอะเลย มีมุมน่ารักๆ ให้เที่ยวเล่นเยอะอยู่เหมือนกัน ตามหาของฝากตามออเดอร์ที่ได้รับมาเรียบร้อย ก็หามื้อเที่ยงกินกันชิลๆ ละแวกนั้น ต่อด้วยนวดเท้าให้จั๊กจี้เล่นอีกหน่อยๆ ก็ได้เวลากลับโรงแรมแพ็คเป๋ากลับบ้านแล้วล่ะค่ะ


ตลาดโลคัล ที่โซนขายเสื้อผ้ากระเป๋ากับของสด สามารถอยู่ด้วยกันได้ ... แฮะ

สีสันตอนกลางวันน่าเดินทีเดียว

มุมนี้น่ารัก


ร้านอาหารก็น่านั่ง

ของซื้อของฝากเยอะแยะ

Booking.com

ขอบอกว่าทริปนี้ชิลมาก จริงๆ ถ้าจะย่อให้เหลือ 3D2N ก็ได้อยู่นะ (ถ้าไม่มีมาราธอน) หรือถ้าแหม อุตส่าห์บินมาทั้งที ก็มีวัดดีๆ อื่นๆ อีกเยอะแยะให้เที่ยวได้ 4D3N ก็โออยู่ (10 ปีที่แล้วก็ 4D3N แบบไม่มีมาราธอนค่ะ) เพราะยังงัยก็มี temple pass เป็นใบเบิกทางอยู่แล้ว ต้องใช้ให้คุ้ม :) … แต่ถ้าจะอยู่ยาวเกินกว่า 4 วันก็อาจจะเบื่อได้นะ (หรือต้องรักจริงเท่านั้น) … จะเที่ยววัดทุกวันเลยหรา 555 … ขนาด temple pass เค้ายังมีแค่ 1, 3 และ 7 วันให้เลือก ไม่มีครึ่งๆ กลางๆ 4-5 วันเลย เห็นมั้ย :)


http://travelismylifeblog.blogspot.com/p/blog-page_7.html http://travelismylifeblog.blogspot.com/p/blog-page_8.html    


https://www.facebook.com/Travelismylifeblog/

 Visit MsKapolo shop on Etsy.com

Booking.com

http://www.shutterstock.com/g/tipwam?rid=3993592

http://www.shutterstock.com/?rid=3993592

http://submit.shutterstock.com/?ref=3993592

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น