My travel diary: ทริปโครเอเชีย - สโลวีเนีย ตอน 8 (Mostar บอสเนีย)

ได้ยินชื่อประเทศบอสเนีย หรือเต็มๆ คือ Bosnia Herzegovina แล้วรู้สึกงัยบ้างคะ โห มันต้องเป็นประเทศไม่สงบ ฝักใฝ่สงครามแน่เลย แต่ แหมๆ นั่นคืออดีตตั้งแต่กลางทศวรรษ 1990 สมัยแยกตัวออกจากยูโกสลาเวียแล้วค่ะ ปัจจุบันเค้าเป็นประเทศท่องเที่ยวที่ virgin สุดๆ แห่งหนึ่งทางยุโรปใต้ มีวัฒนธรรมผสมผสาน และภูมิประเทศมีเสน่ห์ดึงดูด ถือเป็นประตูเชื่อมยุโรปตะวันออกกับตะวันตก โดยมีชายแดนลากยาวติดกับโครเอเชียทางด้านเหนือและตะวันตก มีทางออกสู่ทะเลอยู่ติ่งนึงที่เมือง Nuem (ตรงที่ไปแทรก และแยกประเทศโครเอเชียให้ไม่ติดกันนั่นแหละ) และมีชายแดนด้านตะวันออก ติดกับประเทศเกิดใหม่อย่าง Montenegro และ Serbia เล่าเท่านี้ ก็น่าจะเริ่มคุ้นชื่อขึ้นบ้างแล้วใช่มั้ยคะ

เมืองท่องเที่ยวสำคัญในบอสเนียมีอยู่ 2 ที่หลักๆ คือ แถวเมืองหลวง Sarajevo กับเมือง Mostar ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเขตแดนประเทศโครเอเชียเท่าไรนัก แต่ Sarajevo ออกจะดูไกลไปซักนิดสำหรับ route ของเรา เลยแพลนแถมบอสเนียหนึ่งวันเต็ม (บ่ายวันนี้ + เช้าพรุ่งนี้) เฉพาะที่ Mostar และสถานที่เที่ยวระหว่างทางเท่านั้นแหละค่ะ

Old Bridge หรือ Stari Most สถานท่องเที่ยวสำคัญในเมือง Mostar

แต่แย่แล้ว งานเข้าล่ะสิ เมื่อรู้ตัวว่าไม่สามารถใช้ google map นำทางสู่ Mostar ได้ คือถ้าจะหาแผนที่ก็เห็นอยู่หรอกนะ แต่พอเข้าสู่โหมดนำทางเนี่ย google map เค้าจัดให้ถึงแค่เขตแดนในส่วนของประเทศโครเอเชียเท่านั้น (เข้าใจว่า google ยังไม่ได้รับอนุญาติอย่างครบถ้วนในบอสเนีย ซึ่งก็คงต้องรออีกสักพักค่ะ) เราไม่ได้มีตัวเลือกมากมายอะไรนัก ถึงแค่เขตแดนก็จัดไปเท่านั้นตามนั้นค่ะ จากนั้นคงต้องมั่วๆ แผนที่กันไป

จาก Split มุ่งหน้าไปด่านผ่านแดน เป็น highway ตลอดเส้นทาง และพอพ้นเข้าเขตแดนประเทศบอสเนียก็มี highway ต่ออีกนิดนึง ซึ่งค่าทางด่วนในส่วนที่เป็นเส้นทางภายในประเทศโครเอเชีย เราก็ใช้เงิน Croatian Krona จ่ายไปตามปกติ แต่พอเข้าบอสเนียนี่สิ เค้าเก็บค่าทางด่วนที่มีอยู่นิดนึงตามที่เล่าให้ฟังข้างต้น ตั้งแต่ด่านขาเข้าประเทศเลยทีเดียว (ตรงอื่นไม่มีทางด่วนแล้วค่ะ อีกทีก็ Sarajevo เลย) และค่าทางด่วนน่ะ จะจ่ายเป็นเงินยูโรก็ได้นะ ไม่ว่ากัน แต่ตอนทอนคืนให้น่ะสิ รับเป็นเงิน Bosnian Mark เท่านั้น เลยกลายเป็นว่าในกระเป๋าสตางค์ ตอนนี้มีเงิน 3 สกุลให้บริหารจัดการซะแล้ว

จากนั้นก็คลำทางไปแบบมึนๆ ประเทศนี้นะ นอกจาก google ไม่นำทางแล้ว Internet ที่ต่อผ่าน hot spot ที่พกติดมาก็ใช้ไม่ได้ด้วย (อุตส่าห์ซื้อครบ 3 ประเทศแล้วนะ แงๆ จะหลงมั้ยเนี่ย) ยังดีที่ถนนสายหลักที่มุ่งหน้าสู่ Mostar มีเพียงเส้นเดียว แล้วพอเข้าใกล้เมืองค่อยมามั่วนิ่มอีกที จากแผนที่โรงแรมที่พริ้นต์ใส่กระดาษพกไป และ google map แบบ off line ทีโหลดไว้ตั้งแต่อยู่ในโครเอเชีย ซึ่งก็พอช่วยได้แบบถูไถกันไป ถนนหนทางที่นี่สภาพสู้ที่โครเอเชียไม่ได้ ดูรู้เลยว่ายังยากจนอยู่ (แต่ถ้าเทียบกับบ้านเราก็ไม่แย่นะ) ค่าครองชีพที่นี่ก็ไม่แพง ทั้งค่าโรงแรม ค่าอาหาร ค่าอะไรต่อมิอะไร ถูกที่สุดในบรรดา 3 ประเทศแล้ว แต่ดีแล้วที่อยู่ไม่นาน เพราะถ้าขับรถโดยไม่มี Internet หรือ google นำทางเนี่ย มันไม่สนุกนักหรอกค่ะ ยังดีที่แต่ละคนเก๋าพอตัว เอาตัวรอดพากันมาถึงโรงแรมใกล้เขต old town จนได้ แต่ route พรุ่งนี้ที่จะขับซอกแซกไปเข้าโครเอเชียอีกเส้นทางนึง เพื่อจะเลี่ยงการเข้าๆ ออกๆ ติ่งเมือง Nuem เนี่ยลืมไปได้เลย ขอกลับเส้นทางเดิมเหมือนตอนขามาดีกว่าค่ะ

https://www.facebook.com/Travelismylifeblog/

Booking.com

Old Bridge หรือ Stari Most

ย่านถนนร้านค้าใน Mostar Old Town

เอาละ มาถึงโรงแรมและเช็คอินเรียบร้อย ก็ได้เวลาตะลอนทัวร์ old town Mostar กันแล้ว ไฮไลท์สำคัญของ Mostar อยู่ตรงสะพานเก่าแก่ Old bridge หรือ Stari Most นั่นแหละ ร้านค้า ร้านอาหาร กระจุกตัวรวมกันอยู่ละแวกนี้ ซึ่งส่วนใหญ่จะชอบมากถ้าเราจับจ่ายเป็นเงินยูโร แต่ถ้าเป็น Mark ก็รับเช่นกัน ไม่ค่อยเห็นใช้ Krona เลย วัฒนธรรมแถวนี้ค่อนข้างผสมผสานระหว่างคริสต์กับอิสลาม ทางฝั่งที่เราพักเห็นไม้กางเขนปักเด่นอยู่บนเนินเขา แต่พอข้าม Stari Most ไปเจอแต่สุเหร่า ซึ่งก็อยู่ร่วมกันได้เนอะ แต่ปัจจุบันคนแถวนี้ส่วนใหญ่ก็มุสลิมเกือบหมดแล้วล่ะค่ะ มื้อเย็นวันนี้เลยได้เปลี่ยนบรรยากาศ ตัดรสชาติมาเป็นอาหารท้องถิ่น หน้าตาเหมือนที่กินเกือบทุกวันตอนไปทริปตุรกีเลย ราคาก็ไม่แพงนัก (เทียบกับอีก 2 ประเทศ) จ่ายไปนิดเดียวได้มาเต็มโต๊ะ อิ่มหนำกันไปค่ะ

บรรยากาศสวยๆ เมื่อมองจาก Stari Most

ไอศครีมเจลาโต้น่ากินจัง ถูกด้วย (คนขายก็น่ารัก) ซื้อเลยคนละอัน

มื้อนี้ตัดรสชาติสุดๆ ชอบมากค่ะ

พนักงานก็น่ารัก

เช้าวันต่อมาเราขับย้อนเส้นทางขามาเป๊ะๆ แบบไม่ยอมเสี่ยงออกนอกเส้นทางกันเลย อารมณ์ดีขึ้นมานิดนึงเพราะอย่างน้อยก็พอรู้ทางบ้างแล้ว จึงไม่ต้องพะวงกับเรื่อง google map หรือแผนที่ใดๆ ขากลับนี้เราแวะเที่ยวอีก 2 ที่ระหว่างทาง คือ Mt. Hum เมือง Blagaj ซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านหลังหนึ่งที่ได้รับสิทธิพิเศษ ให้ก่อสร้างบนโลเคชั่นริมสายน้ำ ด้านหน้าหน้าผาวิวงดงามเช่นนี้ ชื่อว่า Tekija ซึ่งแต่เดิมคือบ้านของนักบวช Turkish Dervishes ที่มาบำเพ็ญเพียรนั่นเอง ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น จะเข้าข้างในบ้านต้องมีพิธีรีตองนิดนึง (เช่น ถอดรองเท้า และผู้หญิงคลุมผ้าโพกหัว เป็นต้น)

Mt. Hum เมือง Blagaj

กับอีกที่หนึ่งคือเมือง Počitelj ซึ่งมีสถาปัตยกรรมเก่าแก่ปนๆ ระหว่างคริสต์อิสลาม ได้แก่ bath house โบราณ (Old hamham) และสุเหร่าของทางมุสลิม กับป้อมปราการที่สร้างโดยกษัตริย์ฮังการีในอดีตของทางคริสต์ จะเที่ยวให้ครบต้องออกแรงปีนป่ายไต่เขากันอีกแล้วค่ะ ไม่เป็นไรนะคะ ด้านล่างมีร้านอาหารอยู่ 2-3 ร้าน เหนื่อยนักก็มีอาหารท้องถิ่นสไตล์ตุรกีแบบเมื่อวานไว้ให้อิ่มท้อง

เที่ยวสถาปัตยกรรมเก่าแก่ อันผสมผสาน ที่เมือง Počitelj

หอมปากหอมคอในประเทศบอสเนียแต่เพียงเท่านี้ เราดิ่งตรงกลับไปยังด่านผ่านแดนเดิมตอนขามา เตรียมเงิน Mark ให้เพียงพอกับค่าทางด่วนส่วนติ่งในบอสเนีย และขับฉลุยต่อไปเข้าโครเอเชีย จนมาถึงเมือง Nuem ต้องข้ามเขตกลับเข้าบอสเนียอีกครั้ง แป๊บๆ ไม่ทันไรก็ข้ามแดนเข้าโครเอเชียอีกแล้ว ประทับตราหน้าพาสปอร์ตสนุกสนานกันไป (แหม ประเทศโครเอเชียนี่ก็ใจดีนะ อุตส่าห์ยอมให้บอสเนียเค้ามีติ่งคั่นนิดนึง เป็นทางออกสู่ทะเลได้ด้วย) แล้วมุ่งหน้าสู่ Dubrovnik ไฮไลท์สำคัญของทริปเป็นจุดหมายปลายทางลำดับสุดท้ายต่อไป