กลับมาอยู่บนถนนเลียบชายฝั่ง Dalmatian Coast กับวิวทะเลสีเทอร์คอยซ์ ความงามระดับ very super scenic อีกครั้ง รับแดดอ่อนๆ ยามบ่ายแก่ๆ แต่ถ้าสาดส่องอย่างเข้มแข็งต่อเนื่องเช่นนี้ หน้าตาซีกขวาก็เตรียมตัวเกรียมต่อเลยค่ะ ได้บรรยากาศ European summer ดีจริงๆ ในแพลนดั้งเดิมเรามีเวลาเที่ยวแถวนี้ถึง 2 วันเต็ม (ตั้งแต่เย็นวันนี้ พรุ่งนี้เต็มวัน จนถึงช่วงเช้าของวันสุดท้ายก่อนจะขึ้นเครื่องกลับ) ตอนแรกก็ว่าจะแวะนู่นเที่ยวนี่ใกล้ๆ อีก 2-3 แห่ง เช่น Trsteno Arboretum (สวนพฤกศาสตร์สวยๆ), Ston (เมืองสมญานาม the Great Wall of Croatia), Peljesac Peninsula (ที่ปลูกไวน์เยอะๆ) เป็นต้น แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะปักหลักอยู่แต่ที่จุดหมายปลายทาง ภายในเมือง Dubrovnik เท่านั้น ให้เต็มอิ่มสมกับที่เป็นไฮไลท์อีกแห่งหนึ่งของทริปนี้
วิวเมืองเก่าแบบเต็มอิ่มจากบนยอดเขา Mount Srđ
เมือง Dubrovnik ได้ชื่อเล่นว่าไข่มุกแห่งทะเล Adriatic ตั้งแต่เมื่อ 500 ปีก่อน เป็นเมืองท่าที่มีกองทัพเรือใหญ่โตเป็นอันดับ 3 ในแถบเมดิเตอร์เรเนียน ตัวเมืองเก่ามีกำแพงเมืองสูงต่ำล้อมรอบทุกด้าน แต่บ้านเมืองที่เห็นอยู่ ณ ตอนนี้ เกือบทั้งหมดสร้างใหม่ในสไตล์บาร็อค หลังจากที่พังทลายลงเมื่อคราวแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี ค.ศ. 1667 ปัจจุบันเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญ ที่ทำรายได้หลักแห่งหนึ่งให้กับประเทศโครเอเชีย
ถัดจากติ่งเมืองเก่าย่านชายฝั่ง ไล่ slope ขึ้นไปทางเนินเขาด้านเหนือ จะเป็นย่านพักอาศัย ถนนหนทางแถวนี้ไล่ระดับซิกแซกไปตามความสูงของเนิน เราต้องขับรถแบบโค้งหักศอกกันเกือบทุกครั้งเมื่อถึงปลายทางเพื่อจะไต่ระดับขึ้นไป แต่ในเขตเมืองก็ไม่หนักหนาสาหัสจนเกินไปนัก ต่อเมื่อต้องไต่ต่อเนื่องขึ้นไปยัง Mount Srđ ด้านบนสุดเพื่อชมวิวนั่นแหละ ถ้าไม่ชอบตื่นเต้น แนะนำเสียตังค์ขึ้น cable car ไปเถอะ ชีวิตจะง่ายขึ้นเยอะค่ะ แต่ถ้าชอบหวาดเสียว จะเลียนแบบพวกเราซึ่งพากันขับรถไต่เขาขึ้นไปก็ได้นะ ถนนเริ่มแคบแบบที่สวนกันก็ลำบากเหมือนกัน ยิ่งสูงขอบทางก็ยิ่งหาไม่เจอ หันไปแต่ละทีเจอแต่ slope ดิ่งลง มองแล้วหวั่นๆ ว่าจะกลิ้งตกเขามั้ย แต่ขับมาขนาดนี้แล้วทำไงได้ล่ะคะ ต้องไปกันต่อแบบเกร็งๆ จนถึงยอดเขาจนได้สินะ เฮ้อ ลุ้นระทึกกันท้องไส้ปั่นป่วนทีเดียว คิดเผื่อถึงตอนขากลับไว้เลย อย่าปล่อยให้มืดแล้วค่อยขับรถลงเขาเชียวล่ะ ไม่ชำนาญทางจริงมีสิทธิ์เป็นข่าวหน้าหนึ่งได้นะจ๊ะ
แต่เมื่อขึ้นมาถึงยอดเขาตรงนี้แล้ว ก็สดชื่นค่ะ ลมเย็นๆ วิวสวยๆ ได้เห็นเมืองเก่า Dubrovnik แบบเต็มๆ จากมุมสูง (เล็งกันอยู่นานกว่าจะได้มุมที่ไม่มีสายเคเบิ้ลบดบังสายตา) และแถวนี้ยังเป็นจุดสตาร์ทปล่อยรถโกคาร์ทลงเขา ซึ่งดูๆ ไปก็หวาดเสียวอยู่เหมือนกัน (แต่ไม่น่าเท่าที่พวกเราขับรถไต่กันขึ้นมานะ อันนั้นน่ะของจริงเลย 555) อีกทั้งมีลานคอนเสิร์ตกลางแจ้ง และภัตตาการเก๋ๆ วิวทะเลและเมืองเก่าให้บริการด้วยค่ะ แต่พวกเราก็รีบขับรถลงไปก่อนมืด และไปลงเอยกับร้านอาหารในเมืองแทน อร่อยเหมือนกัน ขอปลอดภัยไว้ก่อนนะ
Night shot ประทับใจ
เช้าวันต่อมาไม่มีเรื่องให้หวาดเสียวละ วันนี้เราจะตะลอนทัวร์เมืองเก่ากันแบบเต็มอิ่ม การปีนป่ายกำแพงเมืองและเดินวนให้ครบ 1 รอบเป็นไฮไลท์สำคัญที่จะพลาดไม่ได้เด็ดขาด แต่ด้วยสภาพแดดแรงๆ เช่นนี้ เราเดินเล่นชมเมืองเพลินๆ กันก่อนดีกว่า ซึ่งแค่บนถนน Stradun สายหลัก ก็ใช้เวลาไปกับการโพสต์ท่าหมู่แบบไม่อายใครชาติใดในโลกไปเยอะละ แล้วยังสำรวจซอยเล็กซอกน้อย เข้าร้านนู้นออกร้านนี้อีก โดยเฉพาะตอนได้นั่งพักขา กับเครื่องดื่มเย็นๆ ที่ร้านบาร์เบียร์ตรงชายฝั่งติดทะเลด้านใต้ (ลอดกำแพงเมืองออกไปก็เจอ) นี่ก็ฟินสุดๆ จนยังไม่ทันได้ไปไหนก็ถึงเวลามื้อเที่ยงเสียแล้ว ร้านดีๆ อาหารอร่อยๆ มีเยอะแยะมากมายให้เลือก สมเป็นเมืองท่องเที่ยวขึ้นชื่อ และก็สมราคาเช่นกัน (เดินตามลายแทงใน TripAdvisor ได้เลย)
ขวักไขว่กันไปบนถนน Stradun สายหลัก
ร้านอาหารตามซอกเล็กซอยน้อย
จิบเบียร์เย็นๆ เพลินๆ
อาบแดดก็มีนะ
บรรยากาศภายในเมืองเก่า
แดดยังแรงอยู่เลย ไปแวะชม Fort of St. Lawrence ซึ่งเป็นป้อมปราการที่ตั้งอยู่บนติ่งคาบสมุทร ทางด้านตะวันตกของเมืองเก่ากันก่อนดีกว่า ออกแรงปีนป่ายกันไม่น้อยเช่นกันค่ะ สามารถใช้ตั๋วกำแพงเมืองมาเข้าชมที่นี่ได้นะคะ ขึ้นไปให้ถึงข้างบนสุด มองย้อนกลับมาทางฝั่งเมืองเก่า เห็นน้ำทะเลสีเขียวใสๆ คั่นด้วยเมืองเก่าหลังคาส้มภายในรั้วกำแพงเมือง โอ้ววว โรแมนติคสุดยอด (แต่จะดีกว่านี้ถ้าแดดไม่แรงนะ เฮ้อ)
วิวกำแพงเมืองเก่าบนน้ำทะเลสีใส เมื่อมองจาก Fort of St. Lawrence
เอาล่ะ ตะลอนกันจนเพลินเกินไปละ ถ้ารอให้แดดหายคงไม่ต้องเดินวนชมกำแพงเมืองกันพอดี เห็นอย่างนี้ เมืองทั้งเมืองมีกำแพงล้อมรอบ จะเดินให้ครบ 1 รอบเต็มก็ใช้เวลาเยอะอยู่นะ ใครเดินเร็วๆ แรงดีๆ ไม่เน้นถ่ายรูปเผื่อไว้ซัก 2 ชั่วโมงกำลังดี แต่กลุ่มของเรานี่ล่อไป 4 ชั่วโมงค่ะ เอากะเค้าสิ เดินมั่ง พักมั่ง หยุดถ่ายรูป หลบแดด ลั้นลากันไป แถมยังหามุมกระโดดเขย่ากำแพง สร้างตำนาน the Heritage Jump กันได้อีก (ไม่ลงรูปนะ อายค่ะ 555)
ภาพประทับใจจากบนกำแพงเมืองเก่า
มุมนี้เก๋มั้ย
วิถีชุมชนที่กลมกลืนในรั้วเมืองเก่า
เป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มท้ายๆ ที่โดนต้อนให้ลงจากกำแพงเมื่อวนครบ 1 รอบพอดี เนื่องจากใกล้เวลาปิดแล้วนั่นเอง พอตกเย็นแดดหายนี่ลมเย็นมาเลยนะคะ แรงเรายังเหลืออยู่อีกเล็กน้อย หลังจากอู้หลายต่อหลายแป๊บมาแล้วบนกำแพงเมือง (จนล่อไป 4 ชั่วโมง) จึงยังสามารถเดินสำรวจเมืองเก่าเก็บตกนู่นนี่กันได้อีกเล็กน้อย จนหมดแรงของจริงละ มื้อนี้มื้อสุดท้ายแล้ว ขอร้านดีๆ ติดชายฝั่ง ชิมหอยแมลงภู่มื้อเด็ดกันชิลๆ อีกรอบละกันนะจ๊ะ
เต็มอิ่มกันขนาดนี้ ตอนเช้าก็ไม่เที่ยวไหนต่อแล้วล่ะค่ะ หาไฮเปอร์มาร์เก็ตท้องถิ่นมาตุนเสบียงจัดเป๋า เตรียมเอาไปฝากคนที่บ้านกันดีกว่า เป็นงัยคะ ทริปเดียว ได้เที่ยว 3 ประเทศ แบบครบถ้วนทุกฤดูกาลเลย ตั้งแต่หน้าฝนชุ่มฉ่ำที่เมืองหลวงทั้งสองแห่ง (เบ้ปากเซ็งเล็กน้อย) จนมาหนาวๆ แบบต้องกอดกันกลม (แม้ว่าฟ้าจะใสและแดดจะดีก็ตาม) ตั้งแต่ Lake Bled, Triglav National Park ในประเทศสโลวีเนีย จนถึง Plitvice ในโครเอเชีย แล้วเข้าสู่ซัมเมอร์จริงจัง หน้าดำตัวเกรียม (เฉพาะตอนกลางวัน) ที่ปลายทางสุดท้ายของทริป ที่เมือง Dubrovnik นี้เอง เป็นอีกหนึ่งทริปที่ประทับใจมากๆ ค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น