เยอรมันเป็นอีกประเทศหนึ่งที่เที่ยวสนุก ปลอดภัย และขับรถเมามันม้ากกก (เสียงสูง) โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามาในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ทั้ง German Alpine จะเป็นฉากหลังสีส้มแดง ผลักให้บ้านเมือง และบรรดาสถาปัตยกรรมปราสาทสวยทั้งหลาย โดดเด่นและมีสเน่ห์ยิ่งๆ ขึ้นไปอีก
เนื่องจากเรามีเวลาเพียง 9 วันเท่านั้น จึงเลือกออกแบบเส้นทางค่อนไปทางตอนใต้ของประเทศเป็นหลัก คือไปและกลับทางเครื่องบินที่นครมิวนิค (แถมเมื่อรับและคืนรถ ณ ที่เดียวกัน ก็ทำให้ประหยัดค่าเช่ารถได้เยอะค่ะ) และเที่ยววนตามเข็มนาฬิกา จากย่านบาวาเรียทางฝั่งตะวันออกและใต้ (แตะออสเตรียนิดๆ ทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ) ผ่านทัศนียภาพอันชวนเคลิ้มของธรรมชาติ ขุนเขา และปราสาทสิ่งก่อสร้างตระการตา มุ่งสู่ย่านทะเลสาบ Constance และน้ำตก Rheinfall ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป (และแวะสัมผัสสวิสฯ ตอนเหนืออีกหน่อยๆ) ก่อนเข้าสู่อีกบรรยากาศสีเขียวตลอดปีในย่าน Black Forest ทางฝั่งตะวันตก แล้วขึ้นเหนือไปสำรวจเมืองน่ารัก Rothenburg บนถนนสายโรแมนติค โดยมีรถเบนซ์คู่ใจขับขี่อย่างมั่นใจตลอดทริป (เช่ารถที่เยอรมันมีให้เลือกอยู่ไม่กี่ยี่ห้อ หรูๆ ทั้งนั้น ราคาก็สมเหตุสมผลดีค่ะ ถูกกว่าเช่าฟอร์ดขับในฝรั่งเศสเสียอีก) ก่อนจะกลับมาใช้บริการรถสาธารณะและ 2 เท้าปิดท้ายที่นครมิวนิค
เนื่องจากเรามีเวลาเพียง 9 วันเท่านั้น จึงเลือกออกแบบเส้นทางค่อนไปทางตอนใต้ของประเทศเป็นหลัก คือไปและกลับทางเครื่องบินที่นครมิวนิค (แถมเมื่อรับและคืนรถ ณ ที่เดียวกัน ก็ทำให้ประหยัดค่าเช่ารถได้เยอะค่ะ) และเที่ยววนตามเข็มนาฬิกา จากย่านบาวาเรียทางฝั่งตะวันออกและใต้ (แตะออสเตรียนิดๆ ทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ) ผ่านทัศนียภาพอันชวนเคลิ้มของธรรมชาติ ขุนเขา และปราสาทสิ่งก่อสร้างตระการตา มุ่งสู่ย่านทะเลสาบ Constance และน้ำตก Rheinfall ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป (และแวะสัมผัสสวิสฯ ตอนเหนืออีกหน่อยๆ) ก่อนเข้าสู่อีกบรรยากาศสีเขียวตลอดปีในย่าน Black Forest ทางฝั่งตะวันตก แล้วขึ้นเหนือไปสำรวจเมืองน่ารัก Rothenburg บนถนนสายโรแมนติค โดยมีรถเบนซ์คู่ใจขับขี่อย่างมั่นใจตลอดทริป (เช่ารถที่เยอรมันมีให้เลือกอยู่ไม่กี่ยี่ห้อ หรูๆ ทั้งนั้น ราคาก็สมเหตุสมผลดีค่ะ ถูกกว่าเช่าฟอร์ดขับในฝรั่งเศสเสียอีก) ก่อนจะกลับมาใช้บริการรถสาธารณะและ 2 เท้าปิดท้ายที่นครมิวนิค
ขับ Benz สิคะ รอรัย
สำหรับเส้นทางในแต่ละวัน ก็สลับสับเปลี่ยนกันไปตามสภาพอากาศ เช่น วันไหนฝนตกก็หาที่เที่ยวในร่ม แต่ถ้าแดดดีจะรีบล่องเรือหรือขึ้นเขาซะ ประมาณนั้น จนบิดเบี้ยวไปจากแผนดั้งเดิมเล็กน้อย ได้หน้าตาสุดท้ายออกมาเป็นดังนี้ล่ะค่ะ
วันที่ 0 – นั่งเครื่อง TG ไฟลท์บ่ายมาถึงสี่ทุ่ม รับรถจากสนามบินมิวนิค และพักโรงแรมใกล้ๆ ตุนแรงไว้ก่อน ยังไม่เริ่มนับหนึ่ง
วันที่ 1 – ตื่นมาหน้าตาสดใส ขับรถเที่ยว Herrenchiemsee และไปล่องทะเลสาบต่อที่ Königssee
วันที่ 1 – ตื่นมาหน้าตาสดใส ขับรถเที่ยว Herrenchiemsee และไปล่องทะเลสาบต่อที่ Königssee
วันที่ 2 – เที่ยวเหมืองเกลือที่ Salzbergwerk Berchtesgaden (สนุกมากๆ ขอบอก) และขับรถชมสีสันฤดูใบไม้ร่วงและบ้านเมืองแถบเยอรมันอัลไพน์ พักที่เมือง Oberammergau
วันที่ 3 – อากาศดีรีบไปขึ้นยอดเขา Zugspitze ก่อนเลย ต่อด้วยเส้นทางไฮกิ้งที่ Partnach Gorge แล้วแวะชม Kloster Ettal
วันที่ 4 – เดินเล่นชมเมือง Oberammergau เป็นการอำลา จากนั้นมุ่งหน้าสู่ปราสาท Linderhof และ Neuschwanstein แวะดินเนอร์แถบเมือง Lindau และค้างแรมที่ Meersburg ติดทะเลสาบ Constance
วันที่ 5 – เที่ยวชมเมืองต่างๆ รอบทะเลสาบ Constance และข้ามฟากไปยังฝั่งสวิสฯ เที่ยวเมืองสวย Stein am Rhein และน้ำตก Rheinfall จากนั้นยิงยาวสู่เมือง Freiburg ในเขต Black Forest
วันที่ 6 – เดินเล่นชมเมือง Freiburg ขับรถชมทัศนียภาพสีเขียวตลอดปีของ Black Forest แวะชม German clock museum ระหว่างทางก่อนถึงจุดหมายที่เมือง Rothenburg
วันที่ 7 – ใช้เวลาเที่ยวเมืองน่ารัก Rothenburg ทั้งวันจนเต็มอิ่ม ก่อนเคลื่อนย้ายสู่มิวนิค และคืนรถ
วันที่ 8,9 – เต็มที่กับการเที่ยว กิน ช้อป ในนครมิวนิค
(ส่วนเส้นทางยอดนิยมอื่นในเยอรมันที่ไม่ได้ไป จะมีปนๆ อยู่ในทริปอื่น ไม่ใช่ Germany in Autumn ครั้งนี้ ไว้มีเวลาค่อยมาเล่าให้ฟังนะคะ)
(ส่วนเส้นทางยอดนิยมอื่นในเยอรมันที่ไม่ได้ไป จะมีปนๆ อยู่ในทริปอื่น ไม่ใช่ Germany in Autumn ครั้งนี้ ไว้มีเวลาค่อยมาเล่าให้ฟังนะคะ)
เมื่อมาถึงสนามบินมิวนิคก็ไม่รอช้า สลับโสตประสาทเป็นโหมดพวงมาลัยซ้าย แล้วรับรถขับออกไปกันเลยค่ะ อย่าลืมสำรวจด้วยว่ารถที่ได้มา มี Umweltplakette หรือสติ๊กเกอร์สิ่งแวดล้อมติดมาด้วยนะคะ เพราะสำหรับการขับรถในประเทศเยอรมันนี้ ถ้าต้องขับเฉียดเข้าเมืองที่เป็น environmental zone หรือ green zone (Umweltzone) โดยเฉพาะเมืองใหญ่ เช่น Munich, Freiburg, Frankfurt, Köln, Dresden และ Berlin เป็นต้น เค้าบังคับให้ต้องติดสติ๊กเกอร์นี้ให้เห็นเด่นชัด ซึ่งปกติรถที่เช่าในเยอรมันก็จะให้มาอยู่แล้ว (แค่ตรวจสอบอีกทีว่าไม่หลุด) แต่ถ้าเช่าจากประเทศอื่นขับเข้ามา ก็ต้องเตรียมจัดหามาติดหน้ารถให้เรียบร้อยค่ะ
เช้าสดใสในวันรุ่งขึ้น เราออกตัวซิ่งพี่เบนซ์ฉิวๆ เพียงไม่ถึงชั่วโมงก็มาถึงท่าเรือที่เมือง Prien am Chiemsee จากนั้นนั่งเรือข้ามฟากข้ามไปยังเกาะ Herreninsel กลางทะเลสาบ Chiemsee ซึ่งเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในย่านบาวาเรีย (ภาษาเยอรมัน insel คือเกาะ island และ see แปลว่า lake ทะเลสาบ) เพื่อมาสำรวจปราสาทเก่าแก่ เก็บเป็น point แรกของทริป ได้แก่ปราสาทที่มีชื่อเต็มๆ ว่า Royal Palace of Herrenchiemsee นั่นเอง ปราสาทนี้อยู่ในลิสต์ภายใต้ Bavarian Castle Pass ซึ่งก็คือบัตรเข้าชมปราสาทราชวังเก่าแก่ทั้งหลายในเขตบาวาเรีย (ที่มีชื่อเสียงอย่าง Neuschwanstein, Linderhof และอีกหลายแห่งในมิวนิคก็ใช้ได้ด้วยเช่นกัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าได้ทั้งหมดนะ อย่าง Hohenschwangau ที่อยู่ใกล้กับ Neuschwanstein นี่ก็ไม่รวม ต้องเช็ครายชื่ออย่างเป็นทางการบนเวปค่ะ แต่ถ้าทั้งทริปได้เข้าซัก 3 ปราสาทก็คุ้มกว่าซื้อทีละปราสาทแล้ว) ยิ่งที่ Herrenchiemsee นักท่องเที่ยวไม่ค่อยพลุกพล่านเท่าไหร่ เลยไม่ต้องเสียเวลาต่อคิวให้เสียเวลาเสียอารมณ์เลย
เช้าสดใสในวันรุ่งขึ้น เราออกตัวซิ่งพี่เบนซ์ฉิวๆ เพียงไม่ถึงชั่วโมงก็มาถึงท่าเรือที่เมือง Prien am Chiemsee จากนั้นนั่งเรือข้ามฟากข้ามไปยังเกาะ Herreninsel กลางทะเลสาบ Chiemsee ซึ่งเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในย่านบาวาเรีย (ภาษาเยอรมัน insel คือเกาะ island และ see แปลว่า lake ทะเลสาบ) เพื่อมาสำรวจปราสาทเก่าแก่ เก็บเป็น point แรกของทริป ได้แก่ปราสาทที่มีชื่อเต็มๆ ว่า Royal Palace of Herrenchiemsee นั่นเอง ปราสาทนี้อยู่ในลิสต์ภายใต้ Bavarian Castle Pass ซึ่งก็คือบัตรเข้าชมปราสาทราชวังเก่าแก่ทั้งหลายในเขตบาวาเรีย (ที่มีชื่อเสียงอย่าง Neuschwanstein, Linderhof และอีกหลายแห่งในมิวนิคก็ใช้ได้ด้วยเช่นกัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าได้ทั้งหมดนะ อย่าง Hohenschwangau ที่อยู่ใกล้กับ Neuschwanstein นี่ก็ไม่รวม ต้องเช็ครายชื่ออย่างเป็นทางการบนเวปค่ะ แต่ถ้าทั้งทริปได้เข้าซัก 3 ปราสาทก็คุ้มกว่าซื้อทีละปราสาทแล้ว) ยิ่งที่ Herrenchiemsee นักท่องเที่ยวไม่ค่อยพลุกพล่านเท่าไหร่ เลยไม่ต้องเสียเวลาต่อคิวให้เสียเวลาเสียอารมณ์เลย
นั่งเรือไปเที่ยวเกาะ
ที่ท่าเรือบนเกาะ Herreninsel
ปราสาท Herrenchiemsee เป็นหนึ่งในคอลเลคชั่นของ King Ludwig II ที่เป็นตำนานผู้สร้างปราสาทสวยดั่งเทพนิยายดังๆ ในละแวกบาวาเรียนี้เกือบทั้งหมด แต่ Herrenchiemsee ก็ไม่โดดเด่นและอลังการเท่าปราสาทอื่นนัก เพราะ King Ludwig II ท่านซื้อต่อมาจากเจ้าของเดิมอีกที ไม่ได้สร้างเองตั้งแต่เสาเข็มแรก ทว่าบรรยากาศบนโลชั่นเกาะส่วนตัวบนทะเลสาบนี่เวิร์กมากเลย มาเที่ยวที่นี่ต้องฟิตร่างกายเล็กน้อยนะคะ เพราะจากท่าเรือ กว่าจะเอ้อระเหยเดินมาจนถึงตัวปราสาท ก็ใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 20 นาทีแล้ว และเหมือนกับหลายๆ ปราสาทในเยอรมัน คือข้างในปราสาทห้ามถ่ายรูป ก็ไม่เป็นไรค่ะ เป็นนักท่องเที่ยวที่ดีต้องปฏิบัติตามกฎและกติกาอยู่แล้ว ถ่ายรูปเล่นแค่ด้านนอกก็แสนจะชิลแล้ว ในเมื่อบรรยากาศและสีสันส้มแดงเป็นใจซะปานนั้น เอาล่ะ สมควรแก่เวลาแล้ว กลับขึ้นเรือและเดินทางต่อสู่ Berchtesgaden เมืองชายขอบติดออสเตรียกันเลยดีกว่า ไฮไลท์ยังอีกเพียบค่ะ
จากสวนหย่อมหน้าปราสาท มองเห็นวิวทะเลสาบสวยเชียว โลเคชั่นเวรี่กู๊ดสุดๆๆ
ตัวปราสาท Herrenchiemsee ดูไม่อลังการแนวเทพนิยายนัก เมื่อเทียบกับปราสาทอื่นในย่าน Bavaria นี้
บรรยากาศสีส้มแดงแสนชิล
ทริป Germany in Autumn ตอน 1 (trip route & Herrenchimsee)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น