เช้านี้เรายังอยู่กันที่เมือง Oberammergau นะคะ หลังจากที่ใช้นอนหลับพักผ่อนมาเป็นคืนที่ 2 แล้ว ก็เพิ่งจะมีโอกาสได้ชมบ้านชมเมืองเค้าบ้างก็วันนี้ละ เนื่องจากเมื่อวานแดดดีมาก จึงรีบพากันไปขึ้นเขาและไฮกิ้งปีนป่ายให้จบก่อน แล้วพอมาวันนี้อากาศดีต่อเนื่อง แถมพยากรณ์อากาศยังบอกด้วยว่า จากนี้ไปไม่น่าเจอฝนแล้วละ เพี้ยงๆๆ ขอให้เป็นจริงตามนั้นเลยค่ะ
บ้านเรือนแถวนี้ นอกจากสไตล์การสร้างแบบ half timber ซึ่งถือเป็นลักษณะเฉพาะของ Bavarian village แล้ว ยังมีสเน่ห์ดึงดูดที่ไม่เหมือนใครอีกอย่าง นั่นคือลายเพ้นต์ภาพวาดหน้าบ้านสีสันสดใส ที่เรียกว่า Lüftlmalerei ซึ่งแสดงเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับศาสนา บางตอนเป็นฉากที่ปรากฏในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ดูออกจะเข้าใจยากนิดนึง สำหรับพเนจรกะโปโลอย่างเรา ทำเลที่ตั้งของเมืองนี้เหมาะมากสำหรับใช้เป็นฐานสำรวจ ปราสาท Linderhof, Ettal Monastery, และ Zugspitze (2 อันหลังไปมาแล้วเมื่อวาน) และยิ่งถ้ามีรถก็สามารถขับไปเยี่ยมชมปราสาทเทพนิยาย Neuschwanstein ได้ไม่ยากเลย (แต่สำหรับปราสาทนอยชวานสไตน์ ถ้าเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะ แนะนำพักที่เมือง Füssen จะสะดวกกว่าค่ะ)
สีสันบ้านเรือน และลายเพ้นต์สวยๆ ในเมือง Oberammergau
เมืองนี้ยังมีชื่อเสียงอีกเรื่อง คือการแสดง Passion Play ซึ่งว่ากันว่าตั้งแต่สมัยปี ค.ศ. 1663 บ้านเมืองแถวนี้มีแต่สงครามนองเลือด ผู้คนเลยสาบานต่อพระเจ้าว่า ถ้ารอดตายจะจัดการแสดง Passion Play บอกเล่าเรื่องราวความเจ็บปวดทรมาน การตาย และการฟื้นคืนชีพของพระเยซูคริสต์ทุกๆ 10 ปี แล้วปรากฏว่าเมือง Oberammergau รอดพ้นจากภัยสงคราม ดังนั้น นับแต่นั้นมาทุกๆ 10 ปี เราจะพบเห็นประชากรกว่าครึ่งเมือง (จากประมาณ 2 พันคน) ออกมาช่วยกันเป็นแผนกโปรดักชั่น เพื่อผลิต Passion Play ความยาว 5 ชั่วโมงให้ได้ชม (ครั้งต่อไปคือในปี 2020) เป็นระยะเวลานานถึง 100 วัน ใครไม่ได้ไปปีนั้น จะแวะไปหาสาระความรู้ที่เกี่ยวข้องจาก Oberammergau Museum ก็ได้นะ
จากนั้นไปต่อกันที่ปราสาท Linderhof ขับรถจาก Oberammergau ใช้เวลาเพียง 15 นาทีก็ถึงแล้วค่ะ ปราสาทแห่งนี้มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก ดูเป็นบ้านขนาดกะทัดรัดอันอบอุ่นที่สุดแล้วของกษัตริย์ Ludwig และเป็นปราสาทเดียวที่สามารถสร้างแล้วเสร็จได้ในรัชสมัยของท่าน ซึ่งท่านก็ใช้เวลาอาศัยในปราสาทแห่งนี้เยอะทีเดียว โดยเฉพาะในช่วง 8 ปีสุดท้าย ตัวปราสาทดูคล้ายๆ แวร์ซายน์ขนาดย่อส่วน และมีสวนสไตล์อิตาลีที่ด้านหน้า พร้อมน้ำพุเอกลักษณ์ และรูปปั้นต่างๆ ดูเพลิดเพลินดี ถัดเข้าไปด้านในเป็นถ้ำส่วนตัว Ludwig’s grotto สำหรับจัดแสดงโอเปร่า ซึ่งเป็นที่โปรดปรานของกษัตริย์ Ludwig มาก มีทั้งน้ำตก หินงอกหินย้อยเทียม และทะเลสาบเทียม พร้อมเรือหงส์ลอยเท้งเต้งอยู่ ว่ากันว่าในย่านบาวาเรียนี้ นี่คือสถานที่แรกที่มีการผลิตกระแสไฟฟ้าใช้ ทั้งนี้เพื่อจัดแสดงแสงสีบนเวทีโอเปร่าแห่งนี้ และขับเคลื่อนน้ำพุด้านหน้าปราสาทนั่นเอง เราสามารถใช้ Bavarian Castle Pass ได้นะคะ ไม่ต้องเสียค่าตั๋วเพิ่ม และเช่นกันเหมือนทุกๆ ปราสาท คือ ข้างในห้ามถ่ายรูปค่ะ
ด้านหน้าทางเข้าปราสาท Linderhof แค่นี้ก็ชวนเคลิ้มเสียแล้ว
อุโมงค์พุ่มไม้ colorful สีธรรมชาติ ถูกใจจริงๆ ค่ะ
ปราสาท Linderhof กับภาพสะท้อนบนผิวน้ำ และฉากหลังสีส้มแดง สุดยอดมากๆ เลย
มองจากมุมสูงอีกฝั่ง ชวนฝันมากๆ
จากปราสาทขนาดเล็กน่ารัก เราจะไปต่อกันที่ปราสาทเทพนิยาย แต่ในเมื่อมีรถทั้งที ก็ขอเลือกเส้นทางที่ได้ผ่านอะไรต่อมิอะไรเพิ่มเติมอีกซักหน่อย และนี่ก็คือสถานที่แวะระหว่างทางของพวกเราค่ะ Wieskirche เป็นโบสต์สไตล์ Rococo ที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมัน มองจากข้างนอกดูเป็นสิ่งก่อสร้างธรรมดาๆ แห่งหนึ่งกลางทุ่งนา แต่พอเข้าไปข้างในก็ต้องตะลึงกับความอลังการของเขาเลย จะได้ขนาดนี้ศรัทธาต้องแรงกล้า และบ้านเมืองต้องรวยด้วยนะคะ
Wieskirche โบสต์สไตล์ Rococo ที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมัน ด้านนอก v.s. ด้านใน สวยสุดๆ
ขับรถต่ออีกประมาณครึ่งชั่วโมงนิดๆ ก็มาถึงจุดหมายปลายทางอันเป็น the must กันแล้ว เรามาอยู่กันตรงทางขึ้นปราสาท Neuschwanstein ค่ะ จากตรงนี้มองเห็นปราสาทสีเหลืองเด่นอีกปราสาทหนึ่งชัดเจน คือ Hohenschwangau Castle ซึ่งสร้างโดยกษัตริย์ Maximilian II ท่านพ่อของกษัตริย์ Ludwig นั่นเอง ปราสาทนี้ไม่ได้รวมอยู่ในแพ็จเก็จ Bavarian Castle Pass ที่ซื้อไว้ จะเข้าข้างในต้องซื้อตั๋วแยกต่างหากค่ะ ดังนั้น … ขึ้นเขาไปเที่ยวปราสาทของฝ่ายลูกกันเลยดีกว่า
Hohenschwangau Castle สวยแต่เสียตังค์ ไม่เข้านะคะ
มองลงไปเบื้องล่าง สวยเพลินมากค่ะ
ปราสาทสีเหลือง Hohenschwangau เต็มๆ อีกครั้ง จากมุมสูง
สมัย King Ludwig ยังทรงพระเยาว์ มาปีนป่ายแล้วมองลงไป เห็นปราสาทสีเหลืองของพระบิดา ก็ทรงใฝ่ฝันว่าสักวัน จะมีปราสาทที่สวยงามดังเทพนิยายเป็นของตัวเอง แล้วฝันของท่านก็เป็นจริง ปราสาท Neuschwanstein ได้ถือกำเนิดขึ้นจนได้ สวยงามชวนฝันมากขนาด Walt Disney เห็นแล้วยังต้องขอยืมไปใช้เป็นแม่แบบ แต่การตกแต่งต่างๆ ก็แล้วเสร็จเพียงแค่ 1 ใน 3 เท่านั้น เพราะเมื่อกษัตริย์ Ludwig สิ้นลงแล้ว การก่อสร้างก็จบลงด้วยเช่นกัน และหลังจากนั้น ปราสาทแห่งนี้ก็ทำเงินจากนักท่องเที่ยวให้กับแคว้นบาวาเรียนี้มากมายทีเดียว
ปราสาท Neuschwanstein ในฝัน
โมเดลจำลอง
นั่งร้านเต็มๆ เก๋ไปอีกแบบ
ขาขึ้นพวกเรานั่งรถกันไปค่ะ แต่พอลงจากรถก็ต้องเดินต่อเองอีกเล็กน้อย (ออกแรงบ้าง) ทิวทัศน์สีส้มแดง และปราสาทสีเหลืองเบื้องล่างทำให้พวกเราเบิกบานเป็นที่สุด ยกเว้นภาพนั่งร้านก่อสร้างที่ล้อมรอบปราสาทเทพนิยายนี่สิคะ แหม แถมสะพาน Mary’s Bridge ก็ปิดซ่อมเช่นกัน ทำให้พวกเราออกอาการเซ็งเล็กน้อย แต่เอาน่า เก่าแก่ขนาดนี้แล้ว ก็ต้องซ่อมแซมและบำรุงรักษากันเป็นธรรมดาล่ะ จะได้อยู่ต่อไปนานๆ ให้คนรุ่นหลังได้มีโอกาสชื่นชม ส่วนพวกเราในวันนี้ ก็แค่หามุมแอบๆ ถ่ายรูปหลบหลีกนั่งร้านกันไป และขากลับก็เดินลงเขา ไฮกิ้งชิลๆ อีกครั้ง ชมธรรมชาติลั้นลากันไป ก่อนจะขับรถยิงยาวไปยังเมืองริมทะเลสาบ Constance เพื่อเตรียมตัวสำหรับความตื่นเต้นในวันถัดไป
Dinner ของพวกเราในค่ำคืนนี้ กับแสงไฟในเมือง Lindau ริมทะเลสาบ Constance
บทความทั้งหมด
แนะนำเส้นทางเที่ยวยุโรป
ทริป Germany in Autumn ตอน 1 (trip route & Herrenchimsee)
ทริป Germany in Autumn ตอน 2 (Königssee & Berchtesgaden)
ทริป Germany in Autumn ตอน 3 (Salt Mine, Ramsau, Swarovski Crystal World)
ทริป Germany in Autumn ตอน 4 (Zugspitze, Partnach Gorge, Kloster Ettal)
ทริป Germany in Autumn ตอน 5 (Oberammergau, Linderhof, Neuschwanstein)
ทริป Germany in Autumn ตอน 6 (Meersburg, Konstanz, Stein am Rhein, Rheinfall)
ทริป Germany in Autumn ตอน 7 (Freiburg, Clock Museum, Black Forest)
ทริป Germany in Autumn ตอน 8 (Rothenburg ob der Tauber)
ทริป Germany in Autumn ตอน 9 (Munich)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น