หลังจากที่ต้องวุ่นวายกันพอสมควรเมื่อคืนนี้ที่ Lava View Lodge เนื่องจาก check in ก็ค่ำ อากาศก็เย็น แถมน้ำไม่อุ่นต้องเรียกช่างมาซ่อม วุ่นวายกันไปพอสมควรกว่าจะได้หลับได้นอน และพอนอนได้แป๊บๆ ก็ต้องตื่นซะแล้ว เพราะคนขับรถจี๊ป (เป็นรถจี๊ป ไม่ใช่ VIP คันเดิมนะ) มารอรับตั้งแต่ตีสามนู่นแน่ะ (อ่านไม่ผิดค่ะ ตีสาม) เพราะจากนี้ต้องนั่งรถจี๊ปตะลุยเส้นทางกระโดกกระเดก ขึ้นสู่ยอดเขาพีนานจากาน (Mount Penanjakan, 2,770m) เพื่อเฝ้าดูชมพระอาทิตย์ขึ้น สะท้อนแสงสีส้มทองบนยอดภูเขาไฟโบรโม่ (Mount Bromo, 2,329m) อันสุดจะป๊อบปูล่า และเพื่อนกันข้างๆ คือภูเขาไฟเซเมรู (Mount Semeru, 3,676m) ที่สูงที่สุดบนเกาะชวานั่นเอง
ใช้เวลากระเต็งกันพอสมควรบนรถจี๊ป จนเมื่อยก้นกันได้ที่ ก็ถึงยอดเขาพีนานจากานแล้ว ถ้าคิดว่าพวกเราตื่นเร็วกันมากแล้วล่ะก็ ผิดถนัดเลยค่ะ เพราะตอนที่มาถึงก็มีรถจี๊ปจอดเรียงเต็มอยู่เยอะแล้ว ท้องฟ้ายังมืดสนิท แต่ผู้คนมารวมตัวกันเป็นจำนวนมาก แถมอากาศก็เย็น หลายคนจึงไปฝากฝังร่างกายหลบลมเย็น และหาอาหาร (ประมาณมาม่าคัพ) หรือเครื่องดื่มอุ่นๆ รองท้องตามร้านค้าแถวนั้น ซึ่งก็มีอยู่ไม่กี่ร้าน ในขณะที่อีกหลายคน เริ่มไปจับจองพื้นที่บนยอดเขาท้าลมหนาวกันแล้ว ซึ่งตรงนี้มิสกะโปโลขอบอกทริ้คไว้เลยนะคะ ว่าถ้าจะจองพื้นที่ก็ขอให้เลือกทางด้านขวามือค่ะ เพราะเป็นภูเขาไฟโบรโม่ ส่วนซ้ายมือน่ะ ตอนพระอาทิตย์ขึ้นจะสะท้อนแสงสีส้มทองสวยงามก่อนก็จริง แต่พอสวยได้ซักพักจะเริ่มรู้ตัวว่า ที่อุตส่าห์ดั้นด้นมาน่ะ เพื่อมาดูโบรโม่ทางขวามือตะหาก รออีกซักแป๊บพอพระอาทิตย์ได้มุมที่เหมาะเจาะ จะถึงคราวโบรโม่สะท้อนแสงสวยงาม ใครอยู่ทางซ้ายแล้วรู้ตัวเร็ว ก็อาจขยับมาทางขวาได้ทัน แต่ถ้าช้านี่อดเลยค่ะ เพราะขวาเต็มไปเรียบร้อยแล้ว ต้องรอต่อคิววนๆ กันไปนะคะ
บรรยากาศร้านค้า ร้านอาหาร บนยอดเขา Penanjakan
แสงสีส้มทองที่เริ่มสาดส่องสู่ตัวเมืองเบื้องล่างทางซ้ายมือ
ระหว่างรอแสงเช้า ขอเล่าเพิ่มเติมนิดนึงละกัน อันที่จริงพื้นที่แถบนี้อยู่ในเขตอุทยาน โบรโม่ เตงเกอร์ เซเมรู (Bromo Tengger Semeru National Park) ซึ่งโบรโม่นั้นเป็นภูเขาไฟที่ดับแล้ว แต่ดับไม่สนิท นานๆ ทีจะปะทุออกมาให้ตื่นเต้น แต่ในยามสงบก็แค่ปล่อยไอควันละล่องออกมาพร้อมกลิ่นกำมะถันฉุยๆ แค่นั้นแหละ สามารถปีนขึ้นไปชมใกล้ๆ ได้ ในขณะที่เซเมรูจะแอ็คทิฟในการพ่นควันปุ๋งๆ ออกมาบ่อยมากกว่ามาก จนเค้าไม่ค่อยอนุญาตให้ปีนกันง่ายๆ ส่วนอีกลูกคือบาท็อค (Mount Batok, 2,470 m) ซึ่งไม่มีพิษสงอะไร จากยอดเขาพีนานจากานจะเห็นลูกนี้บังอยู่หน้าสุดเลย แล้วพอมารวมกัน 3 ลูก ก็กลายเป็นทัศนียภาพอันสุดจะงดงาม ยิ่งเมื่อประกอบกับแสงสีทองและหมอกยามเช้า จะสวยงามสุดๆ ไปเลย
เอาละ ตอนนี้แสงสีทองพร้อมแล้ว ฟ้าเริ่มสวยจากฝั่งซ้ายมือซึ่งเป็นหมู่บ้าน แล้วพอขยับมาอยู่เหนือยอดโบรโม่นี่ก็ โอ้ววว … เกินคำบรรยายค่ะ ดูตามรูปเลยละกัน … อากาศวันนี้ และแสงแบบนี้ ต้องบอกว่าเป็นใจที่สุด ไม่รู้ว่าถ้าเกิดบังเอิญได้มาอีกที จะมีโอกาสได้พบเห็นภาพสวยบาดตาขนาดนี้อีกหรือไม่ โชคดีสุดๆ เลยค่ะวันนี้
แสงสีส้มทองทอประกายงดงามบนโบรโม่ (ซ้าย) บาท็อค (หน้ากลาง) และเซเมรู (หลังกลาง) แซมด้วยหมอกสวยยามเช้า
วิวหยั่งกะภาพฝัน สวยจริงๆ
อินเนอร์ล้วนๆ ไม่อยากจากไปไหนเลย
หลังจากนั้นผู้คนเริ่มทยอยกันจากไป แต่แก๊งส์กะโปโลนี่อยู่ต่อกันจนเกือบเป็นกลุ่มสุดท้ายเลยค่ะ แหม ก็สวยหยั่งกะภาพวาดในฝันขนาดนี้ ต้องจัดให้จุใจสิคะ จากนั้นได้เวลาไปปีนโบรโม่กันต่อแล้ว เหลือรถจี๊ปจอดรออยู่เพียงไม่กี่คัน ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาค้นหาว่าของพวกเราคันไหนเลย 555 แถมคนขับรถจี๊ปแสนรู้ใจ ระหว่างทางยังมีมุมสวยๆ ของภูเขาทั้ง 3 ลูกให้ตากล้องได้เก็บอีกเยอะ เป็นมุมที่ต้องออกแรงปีนป่ายอีกเล็กน้อย แต่ก็คุ้มมากค่ะ เพราะเป็นมุมส่วนตัวของพวกเราจริงๆ ไม่มีคนอื่นอีกเลย งานนี้ต้องทิปคนขับรถจี๊ปเยอะๆ ละ
มุมส่วนตัวของแก็งส์กะโปโล
กระโดดได้อีก
สวยสุดๆ
ตามโปรแกรมเดิม (ที่ได้ customize มา) ก่อนปีนขึ้นโบรโม่ เราจะไปตะลุยทุ่งทะเลทรายภูเขาไฟ Pasir Berbisik (Sea of Sand) ที่ล้อมรอบด้วยทุ่งหญ้าเขียว Savannah Teletubbies ทว่าเนื่องจากโบรโม่เพิ่งระเบิดไปเมื่อไม่นาน (ครั้งล่าสุดคือปลายปี 2015 ก็คือประมาณเกือบๆ ครึ่งปีก่อนหน้า) เลยไม่ค่อยมีหญ้าเขียวๆ เท่าไหร่ ต้องรออีกซักแป๊บ ตอนนี้เหลือแค่ขี้เถ้ากับเม็ดทราย แต่ถึงกระนั้นก็ได้นั่งรถจี๊ปกระเต็งกันลุยทะเลทรายสนุกเลยละ
กลับสู่เบื้องล่าง เห็นบาท็อค (Batok) ตั้งเด่นกลางทะเลทราย
สนุกสุดๆ ไปเลย ได้นั่งรถจี๊ปตะลุยทะเลทราย
กลางทะเลทรายก็กระโดด
ถัดไปจะไปปีนโบรโม่กันจริงๆ แล้วนะ แต่เดี๋ยวก่อน มีใครจะเดินไปมั่งมั้ย อิอิ ไม่มี ทุกคนพร้อมใจกันจะขี่ม้าไปค่ะ แต่แหม เกิดมาก็ไม่เคยขี่หรอกนะ มาตอนนี้ที่ประเทศนี้ตรงพื้นที่แบบนี้ พอตกลงใจว่าจะขี่ม้าเท่านั้นแหละ ไม่มีใครปล่อยให้พวกเราได้มีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจเลย พอม้ามาถึง เอาไปคนละตัวพร้อมคนจูง ขึ้นไปเดี๋ยวนี้ ขึ้นๆๆ ไม่รู้ขึ้นมาได้งัยแต่ก็ขึ้นมาแล้ว ตัวยังเกร็งๆ อยู่ แต่พอขี่ไปซักพักจะรู้ตัวว่าเลิกเกร็งเถอะ มันเมื่อยก้นเปล่าๆ ทำตัวลอยๆ เข้าไว้ พอได้จังหวะขึ้นๆ ลงๆ เท่ากับม้าก็สบายก้นแล้วล่ะ ม้ามันอาจจะเดินโซเซบ้างตามสภาพพื้นที่ แต่มันก็ฉลาดพอที่จะไม่พาตัวเองตกหลุมเจ็บตัวหรอก เพราะงั้นไม่ต้องกลัวตกค่ะ แต่ฝุ่นนี่สิคะตลบเลย พวกเราขี่ม้าถ้าเอาหน้ากากปิดจมูกไว้ก็พอไหวอยู่ แต่คนที่เดินอยู่ข้างล่างนี่สิคะ คลุกฝุ่นกันเลยทีเดียว
ขี่ม้าไปค่ะ เก็บแรงไว้
เท่สุดๆ ไปเลย
ป้ายชื่อม้าค่ะ พกติดตัวไปด้วย อย่าให้หาย
อย่าเกร็งสิคับ ม้าขอมา
ขอม้าพักมั่ง ไปเดินกันเองได้แล้ว
เอาล่ะค่ะ ม้าพาเดินโซซัดโซเซมาถึงจุดพักแล้ว ต่อจากนี้ต้องปีนบันไดขึ้นไปเองนะคะ ขอให้ม้าได้พักบ้าง ออกแรงเองมั่ง (แล้วอย่าลืมพกกระดาษที่เขียนชื่อม้าติดตัวไปด้วย ขากลับจะได้หาม้าตัวเองถูก) ก็เหนื่อยแฮ่กไปตามระเบียบสิคะ บันไดสูงพอตัวเลยล่ะ ระหว่างทางมีจุดพักให้อู้เป็นระยะๆ ปีนไปถ่ายรูปไปก็ลดความเหนื่อยลงได้บ้าง จนมาถึงข้างบนสุดซะที ซึ่งเป็นยอดปากปล่องภูเขาไฟโบรโม่ ที่ยังคงส่งพลังงานความร้อน ผลักดันควันและไอกลิ่นกำมะถันฉุนๆ มาทักทายนั่นเอง ปากปล่องบนนี้กว้างมากเลยค่ะ สามารถเดินไปสำรวจได้ยาวๆ เลย แต่พอพ้นเขตรั้วก็ดูน่าหวั่นๆ อยู่เหมือนกัน ส่งเฉพาะหน่วยก้านหัวใจแข็งแรงไปก็พอนะคะ มิสกะโปโลขอเกาะรั้วอยู่แถวๆ นี้ก็พอ
เห็นบันไดข้างหลังมั้ย ไปปีนกันค่ะ
นี่เราปีนขึ้นมากันสูงขนาดนี้เชียวหรา
ปากปล่องแถวนี้ไม่มีรั้วแล้ว หวิวๆๆ
เครื่องสักการะบูชาที่มุมหนึ่งบนปากปล่อง
ขากลับอย่าลืมกระซิบบอกคนจูงม้า ให้พามาหยุดถ่ายรูปกับวัดกลางทะเลทราย ซึ่งเป็นศาสนสถานของชาวฮินดู ที่ยังหลงเหลืออยู่เล็กน้อยบนเกาะชวานี้ (ชื่อโบรโม่เองก็มาจากการออกเสียงคำว่า Brahma หรือพระพรหม ซึ่งก็คือพระผู้สร้างในศาสนาฮินดูนั่นเอง) ด้วยนะคะ อากาศดีๆ แบบนี้ ท้องฟ้าสดใสได้ใจเช่นนี้ แก๊งส์กะโปโลเก็บภาพสวยเก๋ได้เพียบเชียวล่ะ
เตรียมตัวลงเขากลับกันค่ะ
ถ่ายรูปเก๋ๆ กับวัดฮินดูกลางทะเลทราย
คนขับรถจี๊ปพาพวกเรากลับมาส่งที่ Lava View Lodge ให้พวกเราได้อาบน้ำล้างฝุ่น รับประทานอาหารเช้า และเตรียมตัวเดินทางกันต่อ รอบนี้ไม่ไกลเท่าไหร่ การเดินทางไปยังจังหวัดทางตะวันออกสุดบนเกาะชวาที่ Banyuwangi Regency ใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมงเท่านั้น (รวมเวลามื้อเที่ยง ถ้าไม่เถลไถลเยอะนัก 555) จากนั้นก็เตรียมตัวพักผ่อนกันได้เลยค่ะ เพราะวันรุ่งขึ้น ขอบอกเลย จะต้องเริ่มกันเช้ากว่าที่โบรโม่นี้เสียอีก อร๊ายยย อะไรจะแอดเวนเจอร์จนอดหลับอดนอนขนาดนั้น มาติดตามกันในบล็อกถัดไปเลยค่ะ
รูปสุดท้ายที่ Lava View Lodge
อำลาโบรโม่ด้วยภาพสวยๆ ของไร่ผักขั้นบันไดบนเขาทั้งลูกแถบนี้
โร้ดทริป 5D4N บนเกาะชวา ตอน 5 – The real Bromo
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น