เมื่อวานนี้ล้อหมุนตีสาม เพื่อไปชมความสวยระเบิดระเบ้อของภูเขาไฟโบรโม่ แต่วันนี้สาหัสยิ่งกว่า เพราะราชรถคันเล็กน่ารัก (แต่ก็ไม่เล็กขนาดจี๊ปตะลุยโบรโม่คันเมื่อวาน) ซึ่งในแพ็จเก็จเรียกว่า Ijen discovery vehicle (มันต้อง discover ขนาดไหนเชียว เด๋วก็รู้) มารับพร้อมไกด์ (เป็นวันเดียวที่มีไกด์) กำหนดการล้อหมุน ตีหนึ่งค่ะ แม่นแล้ว ตีหนึ่ง ถ่างตามาแต่งตัวแล้วไปนอนต่อในรถกันได้เลย แม้เส้นทางไม่สมบุกสมบันเท่าโบรโม่ แต่ก็ไกลพอสมควร คือขึ้นรถแล้วพองีบหลับได้ ใช้เวลาประมาณเกือบๆ ชั่วโมงจากโรงแรมมาถึง Paltuding ซึ่งเป็นเบสแคมป์ในการไต่ขึ้นไปสำรวจภูเขาไฟอีเจี้ยน (Ijen Crater, 2,383m) และจากนี้ไปคือ 2 เท้าพร้อมใจสู้ๆ เพื่อไฮกิ้งขึ้นเขารอบดึก
เปลวเพลิงสีน้ำเงิน หรือ Blue Flame ที่ Ijen
บรรยากาศริมทะเลสวยๆ ที่โรงแรม ก่อนไฮกิ้งรอบดึก
ตั้งแต่ National Geographic ได้ออกอากาศเรื่องเปลวไฟสีน้ำเงิน (blue flame) ที่อีเจี้ยน ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ blue frame ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ไม่ได้หาชมง่ายๆ (มีแค่ 2 ที่ในโลก) ประชากรนักท่องเที่ยวก็เพิ่มขึ้นพรวดๆ เริ่มมีการเดินไฮกิ้งรอบดึกดื่นเที่ยงคืน เพื่อให้ทันขึ้นไปดู blue flame และต้องมีไกด์ท้องถิ่นพาเดิน เพราะมันมืดตึ๋ดตื้อเลยงัยคะ ขืนปล่อยนักท่องเที่ยวเดินเองมีหวังได้หลงป่าหรือตกเขากันพอดี และการเดินไฮกิ้ง เอาเฉพาะรอบขาขึ้นไปบนยอดเขาอีเจี้ยนอย่างเดียวก่อนนะ แม้ระยะทางอาจจะพอฟัดพอเหวี่ยง คือประมาณ 3km แต่ความชันนี่สิคะ อุแม้เจ้า ใครปอดแข็งแรงออกกำลังกายเป็นประจำ ชั่วโมงครึ่งคงพอไหว แต่ถ้าสแตนดาร์ดนักท่องเที่ยวไทยทั่วไป ที่ร่างกายอาจไม่ค่อยฟิตเต็มที่นัก ฮึดๆ หน่อย แบบว่าสู้โว้ย เดินไป หอบไป พักไป บวกให้อีก 1 ชั่วโมงเลยค่ะ ส่วนบางคนที่ไม่ไหวจริงๆ ก็อาจต้องพึ่งพาบริการราชรถพิเศษ (เด๋วค่อยเล่านะ)
อุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการไฮกิ้งขึ้นเขารอบนี้ อย่างแรกเลยคือไฟฉายส่วนตัว อย่าได้หวังว่าพกมาอันเดียวแล้วแชร์กันหลายคน เพราะมันมืดจริงๆ ไฟถนนไม่มี ไม่เห็นอะไรเลย พอเดินไปๆ สภาพร่างกายของแต่ละคนจะเริ่มแสดงอาการที่แตกต่างกัน บางคนเดินได้เร็ว บางคนเดินช้าถึงช้ามาก พกไว้ส่วนตัวดีสุด เอาแบบแรงๆ ยิงแทนสปอร์ตไลท์ได้เลยยิ่งดี
อย่างต่อไปที่ควรนำไปด้วย คือหน้ากากปิดจมูกและปิดตา เพราะพอเดินๆ ไป กลิ่นกำมะถันจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น แสบจมูกไม่พอ ยังแสบตาด้วย พวกเราพกแว่นปิดตากับหน้ากากปิดจมูกป้องกันควันสารเคมีของ 3M แบบง่ายๆ ไป ซึ่งเพียงพอในระหว่างเดินขึ้นช่วงแรก แต่พอใกล้ๆ ปากปล่อง หรือตอนจะลงไปข้างล่างเพื่อชมเหมืองกำมะถันและ blue flame ต้องใช้แบบแน่นหนาพิเศษนะคะ ซึ่งถ้าไม่มั่นใจว่าที่พกมาจะเพียงพอมั้ย เราบอกไกด์ไว้ล่วงหน้าเลยก็ได้ค่ะ เค้าจะได้เตรียมมาให้พอดีกับจำนวนคน ไกด์พวกนี้เค้ามืออาชีพอยู่แล้ว ถ้าขอไปก็มีให้แหละ เพียงแต่ถ้าจะให้ครบก็ควรบอกเค้าล่วงหน้า
อุปกรณ์พร้อมแล้วก็ลุยกันเลยค่ะ แรกๆ ยังแรงดีอยู่ พอไปได้ซักพักจะเริ่มงอแง ทำไมมันชันนักนะ เริ่มหยุดอู้ถี่ขึ้น แหงนมองฟ้าให้กำลังใจตัวเองเป็นพักๆ โหววว ดาวเยอะมาก สวยจริงๆ และจากตอนแรกที่ใส่เสื้อผ้ากันหนาวมาเต็มยศ เริ่มเหงื่อแตก ไม่ไหวละ ต้องถอดออกทีละชิ้น (อากาศยังเย็นอยู่นะ แต่เดินจนเหนื่อย บอกเลย) แถมผ้าปิดจมูกก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ที่ทำให้หายใจลำบากและเหนื่อยเร็วกว่าปกติ จนบางทีก็ต้องยอมถอดออก สลับมาสูดกลิ่นกำมะถันซู้ดๆ ให้ชุ่มปอดมั่ง
คนงานในเหมืองกำลังคัดแยกกำมะถัน เตรียมใส่ลงตะกร้า
ระหว่างนี้มีหนึ่งในสมาชิกแก๊งส์กะโปโลเริ่มจะไม่ไหวละ จำเป็นต้องใช้บริการราชรถเวอร์ชั่นพิเศษ นั่นคือ แคร่แบกหามกำมะถัน ที่แปรสภาพมาใช้แบกนักท่องเที่ยวที่หมดแรง ค่าเสียหาย ณ จุดนี้อยู่ที่ 200,000 รูปี (ประมาณ 500 บาท) ได้ยินว่าถ้าจ้างแบกตั้งแต่ตีนเขา แม้ระยะทางจะไกลกว่า แต่จะได้ราคาถูกกว่านี้ เพราะมาถึงตรงนี้ขนาดนี้แล้ว อำนาจต่อรองไม่เหลือแล้ว จะเท่าไหร่ก็ยอมแล้ว จริงมั้ย สูงขึ้นไปจะยิ่งแพงกว่านี้อีกนะ 555 ปกติชาวเหมืองเค้าขนกำมะถันได้ค่าแรงกิโลละ 2 บาท หาบรอบละ 60-80 กิโล วันนึงได้ 2-3 รอบ มาแบกนักท่องเที่ยวนี่รายได้ดีกว่าหลายเท่า ดีกว่าแบกกำมะถันเยอะเลย และมองๆ ดูส่วนใหญ่ก็นักท่องเที่ยวชาวไทยทั้งนั้นแหละ (ถือเป็นมาตรวัดความฟิตของสัญชาติได้เลยมั้ยเนี่ย) เสียดายที่ตอนนั้นฉุกละหุกนัก ข้าวของก็รุงรัง อดเก็บภาพราชรถ VIP ไว้เป็นหลักฐานเลย
แล้วทำไมพวกเราต้องถ่อกันมาแต่เช้าขนาดนี้ด้วยล่ะ ถ้ามาช่วงสว่างก็ดีนะ ได้เห็นวิวทิวทัศน์ระหว่างทาง แต่ก็จะได้เห็นแค่อีเจี้ยนและทะเลสาบสวยๆ เท่านั้น เช้ากว่านี้คือออกจากโรงแรมซักประมาณตีสาม จะทันได้เห็นการทำงานของประชากรชาวเหมืองกำมะถัน และชมวิวพระอาทิตย์ขึ้น แต่ถ้าเช้าสุดๆ แบบพวกเราคือออกจากโรงแรมกันตั้งแต่ตีหนึ่ง จะมีสิทธิ์ได้เห็น blue frame เพิ่มอีกอย่าง ซึ่งก็ต้องเลือกแล้วล่ะ ว่าจะนอนต่อ หรือจะสลึมสะลือมาไฮกิ้งดึกดื่น เพื่อลุ้นชมปรากฏการณ์หายากระดับโลกอย่าง blue frame
เริ่มสงสัยกันแล้วยัง ว่า blue flame มันอะไรกันนักหนา ควรค่าแก่การไม่ได้หลับได้นอนของพวกเราแค่ไหน ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับมันในแง่วิทยาศาสตร์ซักหน่อยละกัน ปรกติสสารจะมี 3 สถานะ ได้แก่ ของแข็ง ของเหลว แล้วก็ก๊าซ ไล่ตามลำดับความร้อน ผ่านจุดหลอมเหลวไปจนถึงจุดเดือด ใช่มั้ยล่ะ ไอปากปล่องภูเขาไฟที่อีเจี้ยนนี้ หนาแน่นไปด้วยแร่กำมะถันเต็มพิกัด มนุษย์ช่างคิดจึงจัดการต่อท่อเซรามิค เพื่อดูดเอาไอกำมะถันที่ลอยขึ้นมาจากปากปล่อง ทะลุผ่านรอยแตกแยกของชั้นหิน ให้มาโผล่ตามเส้นทางที่ได้ออกแบบไว้ แล้วจากไอร้อนๆ ที่ค่อยๆ ผ่านท่อขึ้นมา ก็เริ่มร้อนน้อยลง จนมาถึงปลายๆ ท่อ ก็เป็นของเหลวสีแดงเรียบร้อย ซึ่งพอออกมาเจออากาศภายนอกท่อเข้า ก็เย็นลง กลายเป็นของแข็งสีเหลืองอย่างที่เห็นๆ กัน
บรรยากาศใกล้ๆ แคมป์คนงานด้านล่าง และปรากฏการณ์ Blue Flame
อ้าว แบบนี้ก็จบเห่สิคะ พอออกมาข้างนอกก็แข็งเป็นก้อนเสียแล้ว ฟลุ้คๆ อาจพอมีแบบเหลวๆ สีแดงๆ ให้เห็นมั่ง แล้วตอนเป็นก๊าซ เป็นไอๆ สีน้ำเงินน่ะ จะหาดูได้จากไหนกัน ในเมื่ออุณหภูมิแถวปากปล่อง เริ่มจะร้อนไม่พอที่จะทำให้เกิดเป็นไอสีน้ำเงินตามธรรมชาติเสียแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องเร่งให้เกิดการเผาไหม้มากยิ่งขึ้น ใครอยู่แถวนั้นช่วยจุดไฟให้ทีสิ ทีนี้พอกำมะถันได้สัมผัสกับไฟที่มีใครมาจุดไว้ ก็กลายเป็นเปลวเพลิงสีน้ำเงินหรือ blue flame ให้ดูกันแล้ว เย้ เย้ เป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติที่ต้องพึ่งพามนุษย์นิดนึงค่ะ อ้อ แล้วก็ต้องอาศัยความมืดมากๆ ด้วยนะ ถ้าสายกว่านี้และเริ่มมีแสงรำไร จะหมดสิทธิ์ได้เห็นเลยล่ะ และนี่เองคือเหตุผลว่าทำไมต้องตึหนึ่ง ฮือๆๆ
เป็นแร่มหัศจรรย์จริงๆ ค่ะ ทั้ง 3 สถานะอวดให้เห็นทั้งสีเหลือง แดง น้ำเงิน จัดไปครบทุกแม่สีเลย กำมะถันนิยมนำไปใช้เป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอางค์ (นึกถึงเวลาไปแช่น้ำแร่ภูเขาไฟ หรืออองเซนสิคะ ที่เค้าบอกว่าช่วยให้ผิวพรรณดีนั่นแหละ กำมะถันทั้งนั้น) สาวๆ ที่ไม่ยอมหยุดสวยทั้งหลาย ใช้เครื่องสำอางค์กันปาวๆ นี่บอกไว้เลยนะ ว่าต้องแลกกับความยากลำบากของชาวเหมืองแถวนี้กันขนาดไหน
เอาล่ะค่ะ หอบแฮ่กๆๆ มาจนถึงยอดปากปล่องจนได้ เวลาตอนนี้ประมาณตีสี่แล้ว กลิ่นกำมะถันงี้ฉุนกึ๊กเลย และพวกเราก็เริ่มประกอบชิ้นส่วนเสื้อผ้ากันอีกครั้ง เนื่องจากพอเป็นทางราบ เดินไม่เหนื่อยเท่าไหร่แล้ว ก็เริ่มจะหนาวน่ะสิ … เข้าใจว่าที่ปากปล่องมีทะเลสาบอยู่ แต่เนื่องจากมืดมากเลยมองไม่ค่อยเห็นเท่าไหร่ ตอนขาขึ้นใช้เวลาไป 2 ชั่วโมงนิดๆ แล้วใช่มั้ยคะ ทีนี้ถ้าจะไปให้ถึงเหมืองกำมะถันและดู blue flame ต้องปีนต่อลงไปอีก ให้ใกล้ชิดติดขอบทะเลสาบปากปล่องเบื้องล่าง ซึ่งจะใช้เวลาอีกประมาณ 45 นาทีค่ะ
แต่เนื่องจากคุณไกด์คนดีของเรา เค้าอธิบายไว้เยอะมากเลยสิคะ เกี่ยวกับนโยบายความปลอดภัย และป้ายต่างๆ ที่เขียนเตือน คือถือว่าเตือนแล้วนะ ถ้ายังอยากลงไปดูแล้วเกิดอะไรขึ้น ถือเป็นความรับผิดชอบส่วนตัว จะมาโกรธเคืองกันทีหลังไม่ได้ ทำให้จากปอดเล็กๆ ของนักท่องเที่ยวฟิตน้อย ที่เคยสูดลมหายใจได้ทีละไม่เยอะ จนหอบแฮ่กไฮกิ้งไต่เขาขึ้นมาถึงตรงนี้จนได้ บัดนี้ได้ยินแบบนี้ก็กระจุยหมดสิคะ ปอดแหกกันไปเรียบร้อย ปล่อยให้สมาชิกเพียงคนเดียวที่ปอดยังใหญ่อยู่ ปีนลงไปค้นหา blue flame พร้อมไกด์ แต่งองค์ทรงเครื่องให้แน่นหนา พร้อมติดตั้งหน้ากากกันก๊าซพิษเรียบร้อย แป๊บๆ ก็หายวับไปในความมืดพร้อมๆ กับไกด์ ปล่อยให้สมาชิกกะโปโลที่เหลือ นั่งหนาวเปล่าเปลี่ยวอยู่บนยอดเขา
บ้าที่สุดเลย ให้ตื่นมาแต่ดึกดื่น แต่กลับต้องมานั่งคุดคู้หนาวเหน็บอยู่บนยอดดอย และไม่ใช่พวกเราเท่านั้นนะ แก๊งส์อื่นก็คงหนาวจนแทบจะทนไม่ไหวเหมือนกัน เริ่มมีคนก่อไฟค่ะ อุตส่าห์ไปหากิ่งไม้แห้งๆ มาจากไหนไม่รู้มาก่อเป็นกองไฟ พวกเราก็กระดึ๊บๆ ไปขอแบ่งปันความอุ่นด้วยทีละคน จนครบทุกคน แป๊บๆ เชื้อเพลิงกิ่งไม้ก็หมด เริ่มมีผู้บริจาคถุงขนมขบเคี้ยวโยนลงไปเป็นเชื้อเพลิง โอว คุณพระ แบบนั้นก็มลพิษสิคะ แค่กำมะถันก็แย่แล้ว กะโปโลยอมสลายตัวไปหนาวต่อที่อื่น ให้ไกลแหล่งมลพิษจากถุงพลาสติกนี้ดีกว่าค่ะ
ผ่านไปประมาณ 2 ชั่วโมง ท้องฟ้าเริ่มทอแสงประกาย ปากปล่องภูเขาไฟอีเจี้ยน และทำเลสาบน้ำสีฟ้าใสบนปากปล่องสวยงามจริงๆ สวยคนละแบบกับภูเขาไฟแห้งๆ อย่างโบรโม่ แต่เห็นแบบนี้แล้วน้ำสวยใสๆ ในทะเลสาบแห่งนี้ คือน้ำกรดเข้มข้นตัวร้ายเลยค่ะ ค่าความเป็นกรด หรือ pH 0.5 ตกไปนี่เหลือแต่กระดูกเลย ต้องระวังกันด้วยนะ
ฟ้าค่อยๆ สว่าง นักท่องเที่ยวใจกล้า และคนงานชาวเหมืองเริ่มทยอยกันขึ้นมา จากปากปล่องบริเวณแคมป์คนงานด้านล่าง พอสว่างแล้วสังเกตุเห็นได้เลยว่าทางขึ้นสุดแสนจะชัน คนงานแต่ละคนแบกกำมะถันกลับมากันเต็มตะกร้า (ในขณะที่นักท่องเที่ยวอย่างเราๆ แค่เดินอย่างเดียวก็คงเหนื่อยสุดๆ แล้ว) แถมแต่ละคนดูไม่ค่อยจะมีเครื่องมือหรือหน้ากากป้องกันเลย ทำงานแบบนี้ทุกวันต้องสูดดมก๊าซพิษกันไปแค่ไหนแล้วเนี่ย นักท่องเที่ยวบางคนหลังจากขึ้นมาแล้ว ก็ยกหน้ากากของตัวเองให้กับคนงานที่เดินผ่านไปมาแถวนั้น ดูเค้าดีใจมากเลยล่ะ … แหม ถ้าชีวิตเลือกได้ คงไม่มีใครอยากเอาชีวิตมาเสี่ยงแบบนี้หรอกเนอะ
วิวทะเลสาบปากปล่องภูเขาไฟอีเจี้ยนสวยมาก
หนักขนาดนี้ ทิ้งไว้ก็ไม่หาย
ตะกร้าเปล่า ก็ไม่มีใครมาหยิบไปหรอก
ถึงคราวสมาชิกแก๊งกะโปโลที่เสี่ยงชีวิตลงไปเก็บภาพ blue flame กลับมาถึงแล้ว และมาพร้อมเสียงบ่นว่าถ่ายภาพ blue flame ได้ยากมากเลย เพราะมีควันสีขาวฟุ้งอยู่แถวนั้นตลอดเวลา แถมระยะห่างจากจุดที่ยืนก็ค่อนข้างไกล (แหม อุตส่าห์ทิ้งเพื่อนฝูงให้หนาวเหน็บอยู่ตั้งหลายชั่วโมง) แต่สำหรับเรื่องก๊าซพิษนี้ไม่เท่าไหร่ เพราะลมไม่ค่อยมี กลิ่นฉุนๆ ของกำมะถันก็เลยฟุ้งมาไม่ค่อยถึง หน้ากากจึงไม่ค่อยจำเป็นนัก (ที่ติดตั้งไว้อย่างดีในตอนแรกก่อนลงไป ก็ถอดออกเรียบร้อยตั้งแต่ยังไม่ถึงแคมป์คนงานด้านล่างเลยด้วยซ้ำ เพราะเกะกะ หายใจลำบาก) ผิดกับข้างบนที่ลมพัดแรงกว่า ทั้งหนาวและเหม็นมากมาย
บรรยากาศหมอก (กำมะถัน) สวยๆ ระหว่างทางลงเขากลับ
ได้ยินแบบนี้แล้วก็แอบเซ็งนิดๆ รู้งี้ไม่ทนหนาวหรอก ขอลงไปดูด้วยดีกว่า … แต่จะว่าไปที่เค้าปักป้ายเตือนก็ยังจริงอยู่แหละ เพราะถ้าเกิดมีการปะทุขึ้นมา ลงไปข้างล่างก็อันตรายอยู่เหมือนกัน ครั้งนี้ถือว่าโชคดีที่มาเที่ยวแล้วปลอดภัยกันทุกคน (แถมได้ชุบกำมะถันกลับกันไปเต็มปอด) ขากลับลงเนินนี่สบายบรื๋อเลย วิวหมอกระหว่างทางสวยมาก แต่กลิ่นยังคงติดตามมาหลอกหลอน (มันคงเป็นหมอกกำมะถันนั่นแหละ) เสื้อผ้าก็กลิ่นกำมะถันจัดเต็มกันเลยทีเดียว
ถ่ายภาพที่ระลึกเมื่อกลับสู่ภาคพื้นดินที่เบสแคมป์อีกครั้ง
กลับมาโรงแรมพักผ่อนอาบน้ำล้างกลิ่นกำมะถันเรียบร้อย ก็เป็นอันจบกิจกรรมแอดเวนเจอร์ของทริปนี้แล้ว จากนี้ก็เตรียมไปลั้นลาปิดทริปที่เกาะบาหลีกันเลยนะคะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น