สายการบินภายในประเทศของพม่า มีให้เลือกใช้บริการหลายรายเหมือนกันนะ ซึ่งก็สะดวกสบายและรวดเร็วดี เมื่อเทียบกับโครงสร้างพื้นฐานด้านถนนหนทางที่อาจยังไม่สะดวกมากนัก ที่มิสกะโปโลใช้บริการรอบนี้เป็นของสายการบิน KBZ ล้วนเลยค่ะ ซึ่งเวลาบินก็ค่อนข้างโอเคทีเดียว บินออกจากมัณฑะเลย์ตอน 9 โมงเช้า ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงก็ถึงที่สนามบินเนียงอู (Nyaung U) ละ ได้เที่ยวพุกามเต็มวัน และโลคัลทัวร์ก็จัดการให้หมดทุกอย่าง (จองเองคงวุ่นวายมากๆ)
ทะเลเจดีย์ที่พุกาม
ส่วนประสบการณ์ในการบินไฟลท์ในประเทศครั้งแรกที่พม่านี้ ก็เริ่มต้นอย่างงงๆ ด้วยการรับ boading pass ที่ไม่มีชื่อผู้โดยสารเขียนอยู่ในนั้นเลย เสร็จแล้วเมื่อเข้าไปนั่งรอในห้องพัก ซึ่งก็เห็นว่ามีกระดานอิเลคทรอนิคส์อยู่ด้วยนะ แต่ไม่ประกาศเลขไฟลท์และเวลาขึ้นเครื่องเลยค่ะ เราจึงต้องตื่นตัวอยู่เสมอ ต้องขยันไปเช็คที่หน้าประตูทางออกขึ้นเครื่องเองบ่อยๆ (กลัวตกเครื่องจัด) สุดท้ายแล้วไฟลท์ก็ออกก่อนกำหนดเวลา 20 นาที แบบไม่ค่อยรู้ตัวนัก เค้าให้ขึ้นก็ขึ้น และขึ้นไปแบบงงๆ ว่าเรากำลังจะบินไปพุกาม (เนียงอู) ใช่มั้ย ไม่ผิดที่แน่นะ 555
บนเครื่องก็เลือกที่นั่งกันเองตามใจชอบเลยนะคะ มีขนมและเครื่องดื่มแจกด้วยนิดหน่อย ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงก็มาถึงสนามบินเนียงอูเรียบร้อย ลงเครื่องปุ๊บก็มีรถบัสลิมูซีนมาจอดรอรับ หน้าตาเหมือนรถเมล์บ้านเราสมัยก่อน ออกรถได้ซักประมาณ 5 วินาทีก็จอดให้ลงละ ถึงอาคารผู้โดยสารเป็นที่เรียบร้อย … ก็ว่าอยู่ เห็นตึกอยู่แค่ตรงหน้า ยังอุตส่าห์มีรถบัสมารอรับส่ง น่ารักไปอีกแบบ 555
เครื่องบินของสายการบิน KBZ
เป็นการนั่งเครื่องบินที่ให้ความรู้สึกเหมือนได้นั่งรถทัวร์เดินทางเล็กน้อย (แต่เร็วกว่าเยอะค่ะ ห่างกันเกือบๆ 200 กิโล ถ้ารถทัวร์จริงก็คง 3-4 ชั่วโมง) ไกด์ส่วนตัวประจำเมืองพุกาม มารับเราออกจากสนามบินพร้อมไปตะลุยเที่ยว ซึ่งจากสนามบินลงใต้มาเรื่อยๆ ไกด์พามาแวะที่แรกยังตลาดเนียงอู (Nyang U Market) ซึ่งเป็นตลาดท้องถิ่นในหมู่บ้านเนียงอู ทางตะวันออกเฉียงเหนือของพุกาม ได้สัมผัสกับวิถีชีวิตชาวบ้านแถบนี้ดีจริงๆ สนุกและชอบมากเลย และมิสกะโปโลก็ได้ลองจี หรือโสร่งพม่าสีสันสดใส ในราคาไม่แพงนัก ติดไม้ติดมือมาคนละผืน เอาไว้ใส่เก๋ๆ ในวันถัดไปให้เข้ากับคนท้องถิ่น (รับรอง ถ้าซักก็สีตกชัวร์)
บรรยากาศค้าขายในตลาดเนียงอู
ทานาคามั้ยคะ แก้มสวยเนียนใสเชียวนะ
ใช้ถ่านไฟฉายเป็นตัวชั่งน้ำหนัก
จากนั้นก็เตรียมเที่ยวแบบเท้าเปื่อยกันละ เที่ยววัดที่พม่าต้องถอดรองเท้าทุกครั้ง และถอดกันตั้งแต่ประตูทางเข้าวัดเลย (พกกรวดทรายเปรอะๆ ติดเท้าเข้าไปเลอะเทอะต่อข้างในวัด เฮ้อ ทำใจเล็กน้อย) โดยวัดแรกในพุกามที่ไกด์พาเรามาก็คือ เจดีย์ชเวซิกอง (Shwezigon Pagoda) 1 ใน 5 มหาบูชาสถานของพม่าอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ แต่ไม่มีประตูหรือทางเข้าให้ไปสำรวจด้านในนะคะ เพราะเป็นเจดีย์ และแถมตอนนี้ก็อยู่ในระหว่างซ่อม เลยไม่เห็นสีทองอร่ามของเจดีย์เลย (เสียดายมาก) ส่วนรอบๆ ก็มีศาสนสถานอื่น ที่ก่อสร้างตามแบบฉบับศิลปะในยุคต่างๆ อยู่ปนๆ กันไป แต่ก็ยังเน้นสีทอง ทั้งที่ทาสีเอา และที่อะร้าอร่ามจากแผ่นทองจริงๆ แสบตาไปหมด นอกจากนี้ด้านหลังเจดีย์ยังมีหอนัต ซึ่งหมายถึงดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของผู้ตายหรือภูติผีปีศาจ ที่ชาวบ้านนับถือกันตั้งแต่ก่อนสมัยที่พระพุทธศาสนาจะเผยแพร่เข้ามาเสียอีก
ปิดซ่อมซะละ เจดีย์ชเวซิกอง (Shwezigon Pagoda)
ศิลปะแต่ละยุคสมัยปะปนกันไป
เน้นสีทองอร่ามมากๆๆๆ
นัตที่ชาวบ้านนับถือกันแต่อดีต
ถัดมาคือถ้ำจานสิตา (Kyansittha Umin หรือ Kyansittha Cave Temple) ซึ่งเป็นถ้ำและอุโมงค์ (ที่มีบางส่วนอยู่ใต้ดิน และบางส่วนบนดิน) อันเป็นสถานที่ปฏิบัติภาวนาของพระสงฆ์ในอดีต และยังมีภาพวาดฝาผนังที่คาดว่าวาดโดยทหารมองโกล ซึ่งมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์มาก เพื่อเป็นการอนุรักษ์ จึงไม่อนุญาติให้ถ่ายรูปข้างในนะคะ
ถ้ำจานสิตาอันเก่าแก่
ป้ายด้านหน้าทางเข้า
และต่อไปเราจะไปเยี่ยมชมความเป็นที่สุดในพุกาม 3 สไตล์ คืองดงามที่สุด สูงที่สุด และใหญ่ที่สุด เริ่มจากงดงามที่สุดที่วัดอนันดา (Ananda Temple) ก่อนเลยละกัน วัดนี้ถือเป็นสุดยอดสถาปัตยกรรมพุกาม และเป็นต้นแบบของวัดอื่นๆ ที่สร้างในยุคสมัยต่อมา ถ้าไปวัดไหนแล้วรู้สึกว่าแสงน้อยจัง อากาศไม่ปลอดโปร่ง เดาได้เลยว่าสร้างก่อนวัดอนันดาแน่ โครงสร้างของวัดมีเสาตรงกลางใหญ่โตแข็งแรง มีระเบียงทางเดิน 2 ชั้น อาคารสูงโปร่ง ไม่มีคาน (เป็นเทคนิคด้านโยธาที่พม่าเหนือกว่าเรามาตั้งแต่อดีตสินะ) ออกแบบช่องประตูหน้าต่าง และช่องแสง ให้ภายในสว่าง ไม่อึมครึม ทั้ง 4 ทิศมีพระพุทธรูปประทับยืนองค์ใหญ่มาก องค์ทางด้านทิศใต้พิเศษกว่าตรงที่หากมองใกล้ๆ จะเหมือนพระพักตร์บึ้งเล็กน้อย แต่ถ้ากระเถิบออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ พระพักตร์จะเริ่มยิ้มละ เป็นตัวอย่างที่เล่นกับเทคนิคแสงเงาได้ดีอย่างหนึ่ง นอกจากนี้ตามระเบียงทางเดิน ที่ฝาผนังก็มีพระพุทธรูปน้อยใหญ่ประดิษฐานอีกหลายพันองค์เลยล่ะค่ะ … และเนื่องจากปลอดโปร่ง นกก็บินเข้าบินออกเยอะ เดินๆ ไประวังขี้นกระเบิดใส่หัวด้วยนะ
วัดอนันตา ซ่อมอยู่เหมือนกัน แต่ยังสวยอยู่
พระพุทธรูปประทับยืนด้านทิศใต้ พระพักตร์มีรอยยิ้ม
พระพุทธรูปประทับยืนในทิศอื่นๆ
พระพุทธรูปอีกนับพันตามกำแพงระเบียงทางเดิน
วัดทัตบินยู (Thatbyinnyu Temple) ที่สูงที่สุดในพุกาม
วัดธรรมยางจี (Dhammayangyi Temple) ที่ใหญ่ที่สุดในพุกาม
งานก่ออิฐประณีตสวยงาม
ออกแบบได้โปร่ง โล่ง สว่าง ให้ความรู้สึกสงบ สบาย
พระพุทธรูปที่ประดิษฐานภายในวัด
และหุ่นกระบอกของพ่อค้าแม่ค้านอกวัด
อยากจะหาร้านกาแฟนั่งพักชิลๆ แต่ก็ไม่มีเอาซะเลย อย่าได้หวัง 555 ไปต่อกันที่โรงงานเครื่องเขิน หรือ Lacquer Workshop กันค่ะ ที่พุกามมีแหล่งผลิตเครื่องเขินหลายแห่งมากมาย แต่ละแห่งมักรวมตัวกันเป็นหมู่บ้านเล็กๆ โดยเครื่องเขินที่นี่มักขึ้นโครงด้วยไม้ไผ่หรือขนหางม้า (ซึ่งเจ้าของมาทดสอบให้ดูเองเลยว่าหล่นไม่แตก) แต่ถ้าใหญ่หน่อยก็ใช้ไม้ร่วมด้วยให้แข็งแรง จากนั้นทาสีเคลือบทำจากยางไม้ เอาไปอบออกมาเป็นสีดำเมี่ยม แล้วจึงลงลวดลายโดยการขูด และลงสี ซึ่งสีที่ใช้ก็จะมี 3 สี คือ แดง เขียว และเหลือง ขูดครั้งนึงก็ลงได้สีนึง งานที่มีหลายสีก็ขูดหลายครั้งหน่อย และเมื่อลงสีเรียบร้อยก็ขัดเงาเคลือบเป็นขั้นตอนสุดท้าย หลังจากนั้นพอเข้าโชว์รูมแล้ว จะซื้อหรือไม่ก็ขึ้นกับความพอใจส่วนบุคคลนะคะ
ใกล้เวลาต้องไปปีนวัดอีกซักที่ เพื่อหามุมเหมาะเจาะ รอดูพระอาทิตย์ยามเย็นตกบนทะเลเจดีย์แล้ว ไกด์แนะนำว่าสำหรับเย็นนี้ ให้เลี่ยงเจดีย์ชเวสันดอว์ยอดนิยมไปก่อน เพราะคนน่าจะเยอะมากถึงมากที่สุด ไปตอนนี้คงไม่เหลือที่ให้ยืนแล้ว เก็บไว้ตอนพระอาทิตย์ขึ้นในวันพรุ่งนี้แทนละกัน ส่วนเย็นนี้ไกด์พาไปตะลุยท้องทุ่งท้องนา แวะเที่ยวกลุ่มเจดีย์ Khaymingha เล็กน้อย ก่อนไปถึงสถานที่ชมพระอาทิตย์ตกเย็นนี้ ที่เจดีย์ Oak Kyaung Gyi (ระหว่างทางต้องเจรจาขอทาง จากรถเทียมโคกระบือที่กีดขวางการจราจรเล็กน้อย 555) เจดีย์นี้มีขนาดไม่ใหญ่นัก ไม่มีบันไดให้ปีนขึ้นจากด้านนอก จะขึ้นไปข้างบนสุดต้องมุดปีนเอาจากด้านใน ซึ่งก็ทั้งเตี้ยทั้งแคบ เดินๆ ก็ต้องระวังกันนิดนึง
แวะเที่ยวกลุ่มเจดีย์ Khaymingha เล็กน้อย แบบใกล้ชิด
มาถึงด้านบนแล้วอากาศดี๊ดี ที่ลานด้านบนมีนักท่องเที่ยวและจิตกรท้องถิ่นที่วาดภาพขาย นั่งรอกันอยู่ก่อนหน้าแล้วจำนวนหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้หนาแน่นนัก ยังมีมุมสวยๆ ให้พวกเราได้จับจองกันแบบสบายๆ และเก็บภาพสวยๆ ได้สมใจ ขากลับเหมือนมีใครใจดีเอาเทียนมาจุดให้แสงสว่างตลอดทางเดินลง แต่เนื่องจากพื้นที่ค่อนข้างแคบงัยคะ ใครไม่ระวังไปเตะเทียนล้มจะร้อนเท้าเอาด้วยนะ ระวังๆ กันหน่อยค่ะ
จับจองพื้นที่บนดาดฟ้าเจดีย์ Oak Kyaung Gyi
บรรยากาศยามเย็น สวยๆ จากบนเจดีย์ Oak Kyaung Gyi
ยังไม่สะใจค่ะ เช้าอีกวันก็ยังตื่นแต่เช้าตรู่ เพื่อหวังว่าจะมาดูพระอาทิตย์ขึ้นเหนือทะเลเจดีย์กันอีกรอบ คราวนี้ไกด์พามาที่เจดีย์ชเวสันดอว์ (Shwesandaw Pagoda) ที่สุดแสนจะฮ็อตฮิตนัก การปีนขึ้นไปมีบันไดจากด้านนอกทั้ง 4 ทิศ ไม่ต้องมุดปีนเหมือน Oak Kyaung Gyi เมื่อวานหรอกนะคะ แต่ก็ยังต้องถอดรองเท้าปีนขึ้นกันตามระเบียบ แถมชันมากด้วยสิ และขนาดที่ว่าเรามาเช้าแล้ว ที่เช้ากว่าเราก็เยอะค่ะ พื้นที่ชั้นบนสุดไม่มีเหลือแล้ว พวกเราจึงจับจองทำเลบนชั้นถัดลงมาอีกชั้นหนึ่งแทน ได้ภาพสวยๆ มาเยอะเหมือนกัน แม้ว่ามุมพระอาทิตย์ขึ้น ดูเจดีย์จะไม่เยอะเท่าอีกทิศที่พระอาทิตย์ตกนัก แต่ตอนเค้าปล่อยบอลลูนขึ้นนี่สิคะ เป็นภาพสุดแสนประทับใจดีจริงๆ ต้องบอกว่าที่ตื่นเช้ามาปีนป่ายกันก็เพื่อสิ่งนี้เลยล่ะค่ะ
บันไดไต่ขึ้นเจดีย์ชเวสันดอว์ (Shwesandaw Pagoda)
บอลลูนยามเช้า ต้อนรับพระอาทิตย์ขึ้น
เรียบร้อยแล้วกับทริปพุกาม 1 วันเต็มๆ ตอนนี้ก็ได้เวลากลับโรงแรม รับประทานอาหารเช้า เพื่อเช็คเอาท์ และเตรียมขึ้นเครื่อง KBZ กันอีกครั้ง เพื่อเดินทางไปยังทะเลสาบอินเลกันต่อเลยค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น