เอาละ มาถึงย่างกุ้ง เมืองที่เจริญที่สุดของพม่ากันแล้ว ที่นี่มีศิลปะวัฒนธรรมเก่าแก่ให้เยี่ยมชมมากมาย ทั้งวัดพุทธ เจดีย์ ตลาดท้องถิ่น โบสถ์คริสต์ บ้านเรือนสไตล์โคโลเนียล สลับกับตึกสูงทันสมัย (คล้ายกรุงเทพฯ มั้ย?) มีเวลา 1 วันเต็มที่ย่างกุ้งนี้ จะตะลอนเที่ยวได้ซักแค่ไหนเชียว แค่เริ่มต้นวันก็สายเสียแล้ว 555 บอกไกด์ให้มารับที่โรงแรม 9 โมง เพราะเหมือนยังเหนื่อยจากที่ต้องตื่นเช้าติดกันหลายวัน ตั้งแต่พิธีล้างพระพักตร์พระมหามัยมุณีที่มัณฑะเลย์ และตอนชมพระอาทิตย์ขึ้นแบบมีบอลลูนสีลูกกวาดเป็นฉากแต้มที่พุกาม แล้วนี่ก็เพิ่งท้าแดดตากลม และต่อเครื่องในประเทศเป็นไฟลท์สุดท้าย ออกจากเมืองแถบทะเลสาบอินเล มาถึงย่างกุ้งเมื่อเย็นวานนี้หมาดๆ เลยขอบิดขี้เกียจแป๊บนึง
มหาเจดีย์ชเวดากอง แห่งเมืองย่างกุ้ง
เช้าวันรุ่งขึ้น ไกด์มารับตรงเวลานัด สถานที่แรกที่ไกด์จะพาพวกเราไปก็คือ มหาเจดีย์ชเวดากอง (Shwedagon Pagoda) 1 ใน 5 มหาบูชาสถานสำคัญ เพราะไกด์บอกว่าขืนรอให้ตกเย็น ประชากรจะมากันล้นหลามแน่ๆ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวไทยนี่ละ พวกเราก็เลยคล้อยตาม ตามไกด์ไปดูไฮไลท์อันดับหนึ่งก่อนเลย
วิวมหาเจดีย์ชเวดากอง มองจากหน้าต่างโรงแรมย่านไชน่าทาวน์
แต่เห็นใกล้ๆ แค่นี้ (จากโรงแรมมองเห็นยอดเจดีย์ชัดเลย) ทว่าการจราจรในย่างกุ้งก็สาหัสใช่เล่น กว่าจะมาถึงก็เสียเวลาไปยกใหญ่ แล้วตัวเจดีย์นี่ก็อยู่บนยอดเนินนะคะ มีบันไดทั้ง 4 ทิศ แต่สูงมากๆ เดินขึ้นเองคงเหนื่อยแย่ ยังดีมีบันไดเลื่อนให้บริการตรงทางขึ้นทิศตะวันตกกับทิศใต้ และมีลิฟต์สำหรับผู้ที่ต้องนั่งรถเข็นทางทิศเหนือ (แต่สำหรับบันไดเลื่อนทิศใต้ และลิฟท์ทิศเหนือ จะอยู่แยกออกมาต่างหาก ไม่ติดกับบันไดนะคะ)
ขึ้นบันไดเลื่อนทางทิศตะวันตก สูงมากเลยค่ะ
มาถึงก็ผงะเลยค่ะ สีทองอลังการสุดๆ
ไกด์มาพวกเรามาที่ทางเข้าทิศตะวันตก ซึ่งบันไดเลื่อนอยู่ติดกับบันไดค่ะ ต้องถอดรองเท้ากันตั้งแต่ข้างล่างตรงนี้เลย (เพราะงั้นเวลากลับก็ต้องกลับทางเดิมนะ) อีกทั้งถ้าใครมาเป็นขาสั้น ต้องนุ่งโสร่งทับค่ะ เค้ามีให้ยืม และยังมีคุณป้าช่วยใส่ให้ด้วย (ใส่เองก็ไม่เป็น 555) แต่พวกเราเตรียมกันมาเอง ที่ซื้อไว้ตั้งแต่ตอนเดินตลาดที่พุกามงัย เลือกมาให้เข้ากับสีคอสตูมวันนี้อย่างดีเลยละ อิอิ
ส่วนของยอดฉัตรนั้น ไกด์เล่าว่าในปี พ.ศ. 2542 มีการอัญเชิญลงมาเพื่อถวายองค์ใหม่ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก ชาวบ้านชาวเมืองก็แห่แหนกันมา ถวายแก้วแหวนเงินทอง เครื่องประดับมีค่า ถอดออกมาแขวนไว้เต็มมากมาย อุแม้เจ้า เลอค่าสุดๆ เค้าศรัทธาของเค้าจริงๆ เลยค่ะ แค่ภาพที่จัดแสดงในห้องพิพิธภัณฑ์ก็แสบตาจะแย่แล้ว
นอกจากองค์เจดีย์หลักแล้ว ยังมีหอพระ หอระฆัง วิหาร และเจดีย์อื่นๆ อีกเพียบ ละลานตาและแสบตาเป็นที่สุด แสดงถึงความศรัทธาของพวกเค้าจริงๆ ทุ่มทุกสิ่งอย่างให้กับมหาบูชาสถานแห่งนี้เป็นที่สุด นอกจากนี้ชาวพม่ายังให้ความสำคัญกับทิศ การสักการะบูชาศาสนสถานต่างๆ มักต้องไปที่ทิศประจำวันเกิดของตนเอง ที่รอบมหาเจดีย์นี้จะมีพระและรูปปั้นสัตว์สัญลักษณ์ประจำวันเกิดอยู่ทั้ง 8 ทิศ (วันพุธมี 2 ทิศ สำหรับพุธกลางวัน และพุธกลางคืน แยกกัน) และมีภาษาอังกฤษกำกับอยู่ มาทั้งทีหาทิศของตัวเองให้เจอ แล้วสรงน้ำเป็นสิริมงคลกลับไปกันด้วยนะคะ
สรงน้ำพระพุทธรูปในทิศประจำวันเกิด
แค่มหาเจดีย์ชเวดากองที่เดียวก็ล่อไปเกือบเที่ยงแล้วค่ะ ใหญ่โตมากมายเหลือเกิน แถมอากาศต้นเดือน ธ.ค. ณ เมืองย่างกุ้งในเวลานี้ ร้อนเหงื่อแตกทีเดียว (แถบตอนเหนือที่มัณฑะเลย์และพุกาม เย็นกว่านี้เยอะ โดยเฉพาะที่อินเล ตกเย็นนี่หนาวเลยด้วยซ้ำ) หมดอารมณ์เที่ยวเล็กน้อย หาเงาเจดีย์หลบแดดอุตลุด 555 เพราะงั้นตอนนี้ ได้เวลารีเควสไกด์ ให้พาไปตากแอร์ที่ร้านซีฟู้ดเลยดีกว่า เพราะมาย่างกุ้งทั้งที ก็ต้องกินกุ้งสิคะ อิอิ … แต่พอเอาเข้าจริง มิสกะโปโลว่า กุ้งแม่น้ำแถวอยุธยา หรือสิงห์บุรี อร่อยกว่านะ น้ำจิ้มเราก็แซ่บกว่าเยอะ แผล่บๆๆ
ภัตตาคารการะเวก ริมทะเลสาบ ก็สีทองเช่นกัน
ท้องอิ่มแล้วก็มาเดินเล่นต่อในสวนหย่อม ชมวิวภัตตาคารการะเวกที่ตั้งอยู่ตรงมุมด้านหนึ่งของทะเลสาบ อาคารแห่งนี้เป็นร้านอาหารหรู (แต่แอบเก่าแล้ว) ของรัฐบาล ไว้รับแขกบ้านแขกเมือง ซึ่งคนทั่วไปหากจะจัดงานก็สามารถเช่าสถานที่ได้ แต่นอกนั้นไม่ค่อยมีอะไรนัก ถ่ายรูป 2-3 แชะก็พอละค่ะ
พระนอน พระประธาน ดวงตาทำจากแก้ว หวานใส ในวัดเจ๊าทัตจี
สังเกตุขนาด เทียบกับตัวคนสิคะ
มาต่อที่วัดเจ๊าทัตจี (Chau Khat Gyi Pagoda) ซึ่งภายในประดิษฐานพระนอนขนาดใหญ่มาก เป็นองค์ใหม่สร้างแทนองค์เดิม สูงประมาณตึก 6 ชั้นเห็นจะได้ ที่สำคัญดวงตาหวานใสปิ๊งสุดๆ ทำจากแก้ว ทาอายแชโด้สีฟ้าอ่อน และประดับขนตางอนเช้ง (คนไทยจึงเรียกพระตาหวาน) ไกด์เล่าว่ามีช่างฝีมือสร้างถวาย ซึ่งเป็นช่างแก้วฝีมือดีจริงๆ เพราะแก้วชิ้นใหญ่ขนาดนี้ ไม่ได้สร้างกันง่ายๆ เลย
จากนั้นก็แวะตลาดสิคะ ซึ่งอันที่จริงนักท่องเที่ยวมักนิยมไปตลาดสก๊อต หรืออีกชื่อคือตลาดโบจ๊ก (Scott หรือ Bogyoke Market) แต่วันนี้เผอิญว่าปิดค่ะ เลยอด ไกด์พาไปเดินตลาดท้องถิ่นอื่นแทน ซึ่งมันก็ท้องถิ่นจริงๆ แบบไม่มีของที่ระลึกให้ซื้อติดไม้ติดมือเลย แถมพวกเราก็ผ่านมา 2 ตลาดแล้วด้วย (ทั้งที่พุกามและหมู่บ้านอินเด็น) เลยเลิกตื่นเต้น … แต่รู้สึกว่าตลาดแถวนี้จะส่งเสียงได้โหวกเหวกกว่าเยอะ ตะโกนหยั่งกะทะเลาะกันเลย เสียวๆ มีดบินอยู่เหมือนกัน 555
บรรยากาศที่ท่าเรือ ใกล้เจดีย์โบตะตาว
และด้วยเวลาที่มี สุดท้ายจึงมาจบวันนี้ที่เจดีย์โบตะตาว (Botahtaung Pagoda) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากท่าเรือนัก ได้แวะนิดนึงแบบร้อนๆ ก่อนเข้าไปสักการะพระเจดีย์ โดยชื่อของเจดีย์นี้แปลว่าทหาร 1 พันนาย เนื่องจากในอดีตตอนที่อัญเชิญพระเกศาธาตุจากเรือขึ้นมาประดิษฐาน มีนายทหารจำนวน 1 พันนายมาเรียงถวายความเคารพนั่นเอง
เจดีย์โบตะตาว (Botahtaung Pagoda)
สักการะองค์พระประธาน สีทองอร่ามสุดๆ ไม่แพ้ที่ใด
เจดีย์ที่พม่า เค้ามีวิธีการออกแบบที่ชัดเจน เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ระบบการเข้าชมวัดนี้ค่อนข้างทันสมัยทีเดียว ซื้อตั๋วต้องถ่ายรูปทุกคนก่อนเข้าด้วยนะ … จากนั้นไกด์นำพวกเราไปยังศาลาริมน้ำซึ่งเป็นเรือนนัตก่อนเลย เพื่อไหว้เทพทันใจ หรือนัตโบโบยี ว่ากันว่าขอพรแล้วจะสมหวังทันใจ ฮอตสุดๆ แต่ไกด์ส่วนตัวของพวกเราคงไม่ค่อยได้เจอคนไทยเท่าไหร่ รู้เรื่องพวกนี้ดีไม่เท่าคนพม่าที่อยู่ละแวกนั้น ซึ่งก็เรียกชื่อเทพทันใจตามคนไทยเลยล่ะค่ะ
ทางเดินไปศาลาริมน้ำ
เทพทันใจ หรือนัตโบโบยี
สักการะพระพุทธรูป ที่ศาลากลางแจ้งด้านใน
จากนั้นก็ไปสักการะพระพุทธรูป ที่ศาลากลางแจ้งซึ่งอยู่ลึกเข้าไปด้านใน บรรยากาศร่มรื่นเย็นสบายดีมาก แล้วเข้าไปไหว้พระเกศาธาตุภายในเจดีย์ ซึ่งออกแบบได้ซิกแซกเหมือนเขาวงกต และสีทองอร่ามแสบตาสุดๆ (อีกแล้ว) จะทองไปถึงไหน จนมาปิดท้ายที่ศาลาฝั่งตรงข้าม ซึ่งเป็นเรือนเทพกระซิบ (เมี้ยะนานหน่วย) และไกด์เราก็ไม่รู้จักอีกตามเคย 555 แต่ถ้าถามเด็กหน้าวัด เค้าจะอ๋อทันที และใช้ชื่อเทพกระซิบตรงๆ แบบนี้เลยตามคนไทย ซึ่งคนไทยเชื่อว่าถ้ากระซิบขอพรแล้วจะสมหวัง
ทางเข้าไปสักการะพระเกศาธาตุ
มุมสงบสำหรับพุทธศาสนิกชน
ที่ต้องกระซิบก็เพราะคนไทยชอบคุยเสียงดัง จนเค้าต้องทำป้ายเตือนปักไว้แถวนั้นว่าห้ามส่งเสียงดัง ไกด์ได้ไอเดียบอกให้ลูกทัวร์กระซิบขอพร ซึ่งไปๆ มาๆ ก็กลายเป็นธรรมเนียม และพอชาวพม่าเห็นคนไทยกระซิบขอพรแล้วสมหวัง ก็เลยถือเอาเป็นแบบอย่างมั่ง (แบบนี้ก็ได้แฮะ 555) แต่บังเอิญว่าตอนที่ไปนี้ อยู่ในช่วงซ่อมแซมพอดี เลยอดกระซิบ แต่ก็ดีนะ จะมีซักกี่คนที่ได้มาเยี่ยมชมและเห็นวิธีการบูรณะเทพเหมือนพวกเรา (จริงมั้ย)
เทพกระซิบในระหว่างซ่อมแซม
จบละค่ะ ทริปพม่า 6 วัน 5 คืน (เที่ยวจริง 5 วัน) วันลาน้อยก็เที่ยวได้แค่นี้ละ แต่นานกว่านี้ก็คงไม่ไหวมั้ง แพงจัง ประเทศนี้ 555 ครบทุกรสสมใจละ ชาร์จแบตเต็มที่เพื่อกลับสู่โลกแห่งความจริง และตั้งหน้าตั้งตาทำงาน เก็บเงินเที่ยวรอบใหม่กันต่อไปนะคะ อิอิ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น