มาต่อกันกับเรื่องราวที่ทะเลสาบอินเลนะคะ จากบล็อกก่อนเมื่อเสร็จออกมาจากวัดผ่องด่ออูแล้ว ก็ล่องเรือมาชมสวนผักลอยน้ำ (floating garden) ของชาวทะเลสาบ ไกด์เล่าว่าสมัยก่อน คือประมาณปี 1960 ชาวบ้านเริ่มลงจากเขามาหาปลาตรงทะเลสาบ จากนั้นก็เริ่มสร้างบ้านเรือนและอาศัยอยู่รอบๆ ซึ่งง่ายกว่าต้องขึ้นเขาลงเขากลับไปกลับมาเยอะเลย พอหาปลาไปๆ มาๆ อย่างเดียวก็ไม่พอ ต้องหาวิธีปลูกผัก ซึ่งที่ทะเลสาบอินเลนี้มีสาหร่ายและหญ้ากกอยู่เยอะมาก ถ้าโกยสาหร่ายและวัชพืชน้ำทั้งหลายขึ้นมา มัดรวมเป็นแพ เอาดินโปะหน้า ใช้ไม้ไผ่ยึดแพไว้ ก็สามารถปลูกผักได้แล้ว แถมยังไม่ต้องรดน้ำอีกด้วย เก๋ไก๋มั้ยล่ะ กลายเป็นนวัตกรรมสวนผักลอยน้ำ ภูมิปัญญาแบบล้ำๆ ของชาวทะเลสาบอินเล ซึ่งขึ้นชื่อว่าร่ำรวยสุดๆ เผ่าหนึ่งในพม่าเลยล่ะ
วิวสวยๆ จากวัดงาเพจอง (วัดแมวกระโดด)
นอกจากนี้ ไกด์ยังเพิ่มเติมด้วยว่า มีความพยายามทดลองทำแบบนี้ที่ทะเลสาบอื่นบ้าง แต่ถึงจะตัดเอาหญ้าพวกนี้จากอินเลไป ก็ไม่สามารถทำได้เหมือนกัน นับว่าเป็นคุณสมบัติเฉพาะตัวของทะเลสาบอินเลนี้เท่านั้น ที่มีสาหร่ายและหญ้ากกแบบนี้ทับถมกันมาเป็นเวลานานแล้ว
ทำการเกษตรกันแบบลอยน้ำ
แล้วในปี 1990 ก็เริ่มจะปลูกขายละ จากตามความต้องการที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ที่ปลูกเยอะสุดก็เห็นจะเป็นมะเขือ ซึ่งขายได้ราคาค่อนข้างดีทีเดียว เลยปลูกกันใหญ่ ว่ากันว่าผลิตภัณฑ์มะเขือเทศครึ่งหนึ่งของทั้งประเทศ ก็มาจากทะเลสาบอินเลนี้เอง นอกจากนี้ก็มีปลูกมัน ปลูกถั่ว และพืชอื่นๆ บ้างเช่นกัน มันดีงามมากเลยที่ไม่ต้องเหนื่อยรดน้ำ แต่พอปลูกเยอะๆ เข้า เป็นเชิงพานิชย์ซะขนาดนี้ สิ่งที่ตามมา ก็ทั้งปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง โอ้โห มลพิษทั้งนั้น
ถึงแล้ว Inle Resort
เหนื่อยละ ทั้งวันตะลอนเที่ยวหลายที่เหลือเกิน คืนนี้เราพักที่ Inle Resort ติดทะเลสาบเลยนะคะ หรูพอสมควร และเย็นๆ ก็หนาวใช้ได้ทีเดียว แต่ขนาดนี้แล้วก็ยังมีไฟดับให้เห็นบ้าง ดีที่เกิดกับพวกเราแค่นิดๆ ไม่ได้ทำให้ลำบากอะไรมากมายนัก
บรรยากาศแสนสบายที่ Inle Resort
ชมวิวพระอาทิตย์ตก
วันถัดมาค่ะ เช็คเอาท์เรียบร้อยก็ขนสัมภาระลงเรือ VIP ส่วนตัว จุดหมายปลายทางแรกของวันนี้คือหมู่บ้านอินเด็น (Indein village) ซึ่งพอดีว่าเป็นวันที่ตลาดนัดมาลงพอดี ทำให้สามารถเที่ยวตลาดและสถานที่อื่นๆ ได้โดยไม่ต้องตะลอนนั่งเรือโยกย้ายไปมา ตลาดนัดแถวนี้เค้าจัดวนกันไปค่ะ เค้าจะวนไปตามหมู่บ้านต่างๆ แล้ว 5 วันก็กลับมาที ซึ่งพอเป็นตลาดนัดก็จะมีของสด ทั้งผัก ผลไม้ ปลา และอื่นๆๆๆ มากมาย ทำให้ตลาดปกติ ที่ส่วนใหญ่จะขายของที่ระลึก และอาหารของแห้งทั่วไป ซึ่งอยู่ติดๆ กันก็เลยดูคึกคักไปด้วย
จากรีสอร์ตนั่งเรือออกมา พบเห็นชาวประมงขยันขันแข็งแต่เช้า
บางลำก็โกยสาหร่ายขึ้นมา เพื่อนำมาทำปุ๋ยชีวภาพ (ก็ดูต้องพยายามเยอะอยู่เหมือนกัน ใช้ปุ๋ยเคมีสบายกว่าเยอะ มิน่าล่ะ)
บรรยากาศตลาดนัดตอนเช้าที่หมู่บ้านอินเด็น
ขายถั่ว
ข้าวห่อใบบัว
มดก็กินได้ด้วย
อาหารสแน็คพื้นเมืองสินะ
เสร็จจากบรรยากาศสุดจะท้องถิ่น ก็เดินต่อมาอีกนิดเพื่อเยี่ยมชมกลุ่มเจดีย์ในหมู่บ้านอินเด็น ซึ่งมีอยู่ 2 ที่ใหญ่ๆ ด้วยกัน ที่แรกคือกลุ่มเจดีย์ยองอ๊ก (Nyaung Oak Pagodas) อายุเก่าแก่นับพันปี และเนื่องจากทั้งประเทศมีโบราณสถานมากมายเหลือเกิน รัฐคงดูแลไม่ทัน กลุ่มเจดีย์แถวนี้ก็เลยต้องปล่อยให้อยู่ร่วมกับพุ่มไม้ใบหญ้าไป ซึ่งก็ทำให้มีแตกหักบ้างแบบจำยอมกันไป
กลุ่มเจดีย์ Nyaung Oak
พระประธานภายในเจดีย์ใหญ่องค์หนึ่ง สวยงามมาก
ที่ๆ สองคือ เจดีย์ชเวอินเด็น (Shwe Indein Pagoda) อายุเก่าแก่เป็นพันปีเช่นกัน ซึ่งต้องออกแรงขึ้นเขาไปอีกพอสมควร เดินเหนื่อยเหมือนกัน ตอนขาขึ้นไกด์พาเดินไปทางกลางแจ้ง ชมนกชมไม้เพลิดเพลินกันไป เดินไปพร้อมๆ กับชาวบ้านท้องถิ่นแถวนั้น (ซึ่งเดินขึ้นเขากันเร็วมากเลย ตามไม่ทัน 555) เจดีย์ชเวอินเด็นนี้ น่าจะมีจำนวนเจดีย์มากกว่ากลุ่มเจดีย์ยองอ๊กนะ นอกจากเจดีย์เก่าแก่ที่อาจมีแตกหักพังลงมาบ้างแล้ว ก็มีบางส่วนได้รับการบูรณะโดยผู้มีจิตศรัทธา และอีกบางส่วนที่รัฐมาบูรณะให้ กลายเป็นสีทองอร่ามเลยทีเดียว แล้วตอนขากลับไกด์ถึงพาลงบันได ที่ต้องผ่านร้านค้าของที่ระลึกมากมาย … พอกลับมาถึงตลาด เหลือแต่ตลาดขายของที่ระลึกดูเงียบเหงา เพราะตลาดนัดวายไปแล้ว
กลุ่มเจดีย์ Shwe Indein มีทั้งที่ผุพังไปบ้างตามกาลเวลา ปนๆ กับที่ทำนุบำรุงจนทองอร่าม
ส่วนที่ทองอร่าม ก็ตระการตาเหลือเกิน
เดินรอบเจดีย์องค์ใหญ่
ขากลับพบเห็นชาวบ้านนำผ้าย้อมท้องถิ่นมาตั้งแผงขาย
ผ่านสวนไผ่ร่มรื่น ถ่ายรูปซักใบ
จากนั้นมาต่อที่หมู่บ้านทำเครื่องเงิน (silver smith workshop) ซึ่งเจ้าของร้านรุ่นลูกเล่าว่า ทำมาตั้งแต่รุ่นพ่อแล้ว โดยเรียนรู้เทคโนโลยีสกัดแร่เงินโดยสารเคมี จากครูชาวต่างชาติที่มาช่วยงานที่นี่ ว้าว ไม่ธรรมดาเลยนะเนี่ย
ช่างฝีมือที่โรงงานทำเครื่องเงิน
และสถานที่เที่ยวสุดท้ายของพวกเราบนทะเลสาบอินเล คือวัดงาเพจอง (Nga Phe Chaung Monastery) หรือวัดแมวกระโดด (Jumping Cat Monastery) ที่ขึ้นชื่อเรื่องงานไม้สลัก ในวัดมีพระพุทธรูปไม้และบุษบกประดิษฐานอยู่ภายในศาลาไม้ ซึ่งบุษบกเหล่านี้ถูกรวบรวมจากแหล่งต่างๆ ในรัฐฉาน เพื่อรักษาไว้ไม่ให้สูญหาย มีหลายองค์มาก แต่ละองค์สวยและประณีตงดงาม ทั้งงานแกะสลักไม้ ประดับกระจกสี ปิดทอง ละเอียดบรรจงเหลือเกิน ไกด์บอกว่าปัจจุบันหาช่างฝีมือยากมาก ไม่รู้ว่าจะสามารถรักษาให้เป็นสมบัติล้ำค่าต่อไปได้อีกนานแค่ไหน
งานไม้บุษบกอันประณีต งดงาม ที่วัดงาเพจอง
นอกจากนี้ที่มาของชื่อวัดแมวกระโดด เนื่องจากที่วัดมีแมวเยอะ แต่ก่อนมีโชว์แมวกระโดดให้ดูด้วย ทว่าหลังๆ นักท่องเที่ยวเริ่มเยอะ ให้แมวกระโดดโชว์ทุกรอบก็ไม่ไหว สงสารแมวแย่ ก็เลยยกเลิกไปเรียบร้อย
ลูกแมวนั่งนิ่งๆ ให้ถ่ายรูปด้วย
กินข้าวเที่ยงเสร็จก็บ่ายโมงนิดๆ แล้ว ได้เวลาจรลี เดินทางสู่สนามบินเฮโฮ ขึ้นเรือ ต่อรถ ปีนเขากันอีกครั้ง เพื่อใช้บริการสายการบิน KBZ ไฟลท์เย็น เป็นการบินในประเทศครั้งสุดท้าย เพื่อเดินทางไปปิดทริปที่ย่างกุ้งแล้วล่ะค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น