คนกรุงเทพฯ ถ้ารู้สึกเหงาๆ ชีพจรอยากลงเท้า ในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ในเดือนที่อากาศดีๆ ปลายปี แบบที่ไม่ร้อนละลายจนเกินไปนัก จะไปเที่ยวเล่นที่กาญฯ ก็เป็นตัวเลือกที่ไปกันได้ง่ายๆ เพราะใกล้แค่นี้เอง แต่ … ถ้าจะไปให้ถึงสังขละบุรี อำเภอเหนือสุดนู่น ก็อาจลองแพลนเพิ่มขึ้นอีกซักวัน จะได้ไม่เหนื่อยจนเกินไป และได้เที่ยวจุใจ ไม่ใช่เอาแต่ขับรถชมข้างทาง
ทริปนี้จัดกันง่ายๆ เลยค่ะ ไปกันต้น ธ.ค. ที่มีหยุดยาวให้เลือกเที่ยวได้โดยไม่เปลืองวันลา แต่วันแรกกว่าจะตื่นก็ไม่ค่อยจะเช้าเท่าไหร่แล้ว 555 (อยากใช้เวลาวันหยุดเที่ยวพักผ่อนสบายๆ น่ะค่ะ แหะๆ) ขับรถกันยาวรวดเดียวแบบไม่แวะอะไรเลย (ก็มีแวะบ้าง ตอนเข้าห้องน้ำ กับกินข้าวเที่ยง) ระยะทางจากกรุงเทพฯ ไปถึงที่พักใกล้แหล่งท่องเที่ยวสำคัญของสังขละบุรี หรือสะพานมอญ ก็เกือบๆ 400 กิโลแล้วค่ะ ขับกันเมื่อยก้นอยู่หลายชั่วโมง มาถึงก็เย็นแล้ว อากาศกำลังดี วิวก็สวยมาก ทำเอาหายเหนื่อยและประทับใจสุดๆ ทีเดียว
ที่พักที่โรงแรมสามประสบก็สุดยอดไปเลย เราจองกันล่วงหน้านานเหมือนกัน ซึ่งก็ได้วิวสวยคุ้มเกินบรรยาย (ชื่อสามประสบ มาจากการที่ตรงนี้ มีแม่น้ำ 3 สาย คือ ซองกาเลีย บีคลี่ และรันตีไหลผ่าน) หลังจากเช็คอินเสร็จ ก็ไม่รีรอที่จะไปเดินเล่นชมสะพานมอญ หรือชื่อเต็มๆ คือ สะพานไม้อุตตมานุสรณ์ ในยามเย็น และสะพานบวบ ที่เป็นแพลอยอยู่ข้างๆ ใช้สำหรับขึ้นลงเรือ เวลานี้คนเยอะมากๆ เลยค่ะ โอ้โห ไกลจากกรุงเทพฯ ขนาดนี้ ในวันหยุดยาวก็ยังอุตส่าห์มีนักท่องเที่ยวแน่นขนัด แสดงว่าก็เป็นจุดหมายปลายทางที่ติดอันดับพอสมควรเหมือนกันนะเนี่ย (จากที่อื่นก็มี ไม่ได้มีแต่คนกรุงเทพฯ มาเที่ยวซักหน่อย)
ชมวิวสวยๆ เพลิดเพลิน และใช้ชีวิตแบบสงบในยามค่ำคืน ที่ไม่มีอะไรให้ทำมากมายนัก เลยได้เข้านอนเร็วหน่อย และก็ยังได้ตื่นเช้ามาตักบาตร ชมวิถีชีวิตท้องถิ่นในยามเช้า ในเครื่องแบบที่เช่าได้ง่ายๆ จากโรงแรมนี้เอง มีทั้งของผู้หญิงและผู้ชายให้เช่าค่ะ (จองไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว) ไอ้เราก็ตัวเล็กแค่นี้ มาเจอผ้านุ่งผืนใหญ่ขนาดนี้เข้า ทบไปทบมาจนอึดอัด เลยจับปลายที่เหลือมัดเป็นโบว์ที่ด้านหน้า บังพุงซะเลย เก๋ไก๋ไปอีกแบบ อิอิ ใครไม่อยากเช่า ซื้อเอาแถวนี้ก็มีขายเยอะแยะค่ะ ได้เป็นของฝากติดไม้ติดมือกลับบ้านไปในตัว
ทานาคา ขายกันแบบนี้เลย
เดินชมตลาดหน้าเจดีย์พุทธคยา
ด่านเจดีย์สามองค์
ทำเวลากันพอสมควร เพราะจากนี้จะไปนอนแพชิลๆ ที่โรงแรม The Float House ริมแม่น้ำแควกันแล้วน่ะสิ เพราะแถวสังขละบุรีนี่ก็เที่ยวครบหมดแล้ว แต่จะรวดเดียวกลับกรุงเทพฯ ก็อีก 400 กิโลเชียวนะ ขอนอนแพชิลๆ ระหว่างทางให้คุ้มกับที่มาเที่ยวพักผ่อนในวันหยุดยาวสักนิดค่ะ
พักแพที่นี่ต้องจอดรถทิ้งไว้ในที่จอดรถที่ทางโรงแรมจัดให้ แล้วต่อเรือของโรงแรมมายังแพอีกที เพราะฉะนั้นหลังจากนี้ก็อยู่แต่บนแพล่ะค่ะ ไม่ต้องไปไหน พักผ่อนกันชิลๆ ให้อาหารปลาเล่น (ปลาเยอะมาก ขอบอก) และดูคนอื่นเล่นน้ำไป (รอบนี้ไม่ได้เตรียมชุดมาเปียกเลย) จริงๆ ที่เขาด้านหลัง ก็มีเส้นทางไฮกิ้งอยู่หรอก มีต่อไปถึงถ้ำนู้นนี้ได้เหมือนกัน แต่แบบว่าขี้เกียจงัยคะ อยากนั่งเล่นพักผ่อนสบายๆ มากกว่า ก็ดูบรรยากาศสิ น่านอนกลิ้งไปกลิ้งมาซะขนาดนี้ แถมแพที่นี่ก็ไม่โคลงเคลงเลย รากฐานคงมั่นคงมาก มาพักแบบนี้ที่นี่ ไม่ต้องกลัวเมาคลื่นเลยค่ะ
ปลาเต็มเลย มีหาดให้เล่นน้ำด้วย
บิดขี้เกียจกันจนได้ที่ ได้เวลาอำลาแพ The Float House แล้ว ก่อนกลับกรุงเทพฯ เราแวะไหว้พระกัน 2 วัดใน อ. ท่าม่วง คือวัดถ้ำเสือ กับวัดถ้ำเขาน้อย (วัดจีน) ที่อยู่ติดกันแค่มีรั้วกั้น (แต่เข้าได้จากชั้นล่างเท่านั้น เพราะไม่มีทางเชื่อมต่อกันข้างบนนะคะ) เนื่องจากเป็นวัดบนเขาทั้งคู่ ก็ต้องทำใจว่าต้องออกแรงเดินขึ้นเขากันแล้วสินะ ยังดีที่วัดถ้ำเสือมีรถรางไฟฟ้าให้บริการ เลยเดินขึ้นเองแค่ลูกเดียวที่วัดถ้ำเขาน้อย สบายไป อิอิ
บันไดทางขึ้นสีสดใดที่วัดถ้ำเสือ
เจดีย์วัดถ้ำเสือ
วิวทุ่งนาสุดลูกหูลูกตา
พระประธานกลางแจ้ง ณ วัดถ้ำเสือ
เจดีย์วัดถ้ำเขาน้อย
ชมวิวสวยๆ จากเจดีย์วัดถ้ำเขาน้อย
จากเจดีย์วัดถ้ำเขาน้อย มองไปที่เจดีย์วัดถ้ำเสือ
ตามทางขึ้นลงที่วัดถ้ำเขาน้อย ก็จะออกแนวกระเบื้องจีนๆ แบบนี้แหละค่ะ
จบไปอีกหนึ่งทริปแบบสบายๆ ถึงจะขับรถไกลหน่อย แต่ก็ได้พักผ่อนจริงจัง ไม่เหนื่อยจนเกินไปนัก และที่กาญฯ นี้ก็ยังมีที่เที่ยวน่าสนใจอีกเยอะ ไว้ทริปหน้าค่อยพาไปเที่ยวที่อื่นต่อนะคะ
ขอบคุณค่ะ กำลังหาข้อมูล :)
ตอบลบ