เวนิส (Venice หรือ Venezia ในภาษาอิตาลี) เมืองเก่าแก่อายุกว่า 1,500 ปี เป็นเกาะที่ลอยตุ๊บป่องอยู่ในลากูน ทางตอนเหนือของทะเล Adriatic สมัยก่อนตอนมากับทัวร์ เค้าให้แวะแค่ไม่กี่ชั่วโมง ได้ขึ้นเรือกอนโดล่าด้วย แล้วแป๊บๆ ก็ต้องไปต่อละ ซึ่งก็พอเหมาะกับความเหนื่อยล้าของแข้งขาอยู่หรอก แต่ยังไม่มีโอกาสได้ค้นหาสีสันที่มากกว่า ที่เกาะอื่นชื่อดังเหมือนกัน อย่างเช่น Murano หรือ Burano เลย แล้วตอนนี้เกาะแก่งแถวนี้ก็จมน้ำลงไปเรื่อยๆ ก็เลยต้องมาให้ได้อีกซักครั้ง เพื่อเก็บตกหลายสิ่งหลายอย่างที่เคยพลาดไป ก่อนจะไม่มีโอกาสนั่นเอง
สีสันบาดตาที่เกาะ Burano
ด้วยสัมภาระขนาดมหึมา ของสมาชิกแก๊งส์กะโปโลแต่ละคน เราเลือกพักกันภายในตัวเมือง Mestre ซึ่งเชื่อมต่อกับเกาะเวนิสด้วยถนนและระบบราง สามารถเดินทางหากันได้ง่ายๆ โดยบริการขนส่งสาธารณะ เช่น รสบัส รถราง (ใช้เส้นทางเดียวกับรถยนต์) และรถไฟ หรือจะขับรถมาเองก็ได้ เค้ามีลานจอดรถแบบเสียตังค์แถวๆ สถานีรถบัสและรถไฟ ซึ่งเป็นเกตเวย์ทางด้านตะวันตกของเกาะนั่นแหละ โดยนอกจากค่าจอดรถแบบเหมาค้างคืนจะแพงได้ใจแล้ว อย่าลืมว่าการเดินทางภายในเกาะ ถ้าไม่เดินก็ต้องนั่งเรือ ดังนั้น ถ้าต้องกระเต็งกระเป๋าใบใหญ่ยักษ์ติดตัวไปด้วย คงไม่สนุกแน่ เลยตัดสินใจพักกันที่ Mestre เนี่ยแหละ (ระวังเขต ZTL ด้วย) แล้วเที่ยวเวนิสแบบตัวเบาๆ ดีกว่า
กระดานอิเลคทรอนิกส์บอกเที่ยวเรือ ที่่ท่าบนเกาะเวนิส
จะเที่ยวเวนิสให้สนุก แนะนำตั๋วโดยสารขนส่งสาธารณะแบบบุพเฟ่ห์ ที่เหมาๆ ทั้งรถและเรือ เรียกว่า Vaporetto Pass โดยขอบเขตจะครอบคลุมรถบัส รถไฟ และรถราง ที่เชื่อมต่อระหว่างสถานีภายในตัวเมือง Mestre จนถึงเวนิสด้วย (ยกเว้นเรือพายกอนโดล่า ไม่ใช่ขนส่งสาธารณะ ไม่เกี่ยวนะคะ) มีแบบ 24 ชั่วโมงและมากกว่านั้น สามารถหาซื้อได้ที่โรงแรม หรือที่ตู้อัตโนมัติตามป้ายรถ หรือสถานีรถไฟ (หรือที่ท่าเรือภายในเวนิสก็ได้ … แต่ถ้าเริ่มจาก Mestre ก็ซื้อที่ Mestre เลยสิคะ) แค่นั่งเรือครบ 3 เที่ยวก็เกินคุ้มแล้ว ยิ่งจะไปเกาะอื่นอย่าง Murano หรือ Burano (ซึ่งถ้าไม่นั่งเรือ ก็ต้องว่ายน้ำข้ามไปเท่านั้น) ด้วยแล้ว ยิ่งสุดจะคุ้มเลยค่ะ
Rialto Bridge
แก๊งส์กะโปโลนั่งรถรางจากป้ายใกล้ๆ โรงแรม มาส่งตรงที่ป้ายปลายทางบนเกาะเวนิส ที่ลาน Piazzale Roma จากนั้นก็ต่อเรือเมล์ ล่อง Grand Canal ถนนสายคลองที่ใหญ่ที่สุด ที่ผ่ากลางเกาะเวนิสแบบคดไปเคี้ยวมา แถมยังจอดรับส่งทุกป้าย น่าหงุดหงิดใจเล็กน้อย (เดินเองน่าจะใช้เวลาพอๆ กันนะ เพราะงั้นระหว่างเดินเองเหนื่อยๆ กับนั่งเรือละเหี่ยใจ เลือกเลยค่ะ 555) ชมบรรยากาศ 2 ฝั่งคลอง ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ก็มาขึ้นที่ท่าสะพาน Rialto กลางเกาะ แล้วเดินลัดเลาะข้ามคลองเล็กคลองน้อย พักถ่ายรูปลั้นลาเป็นระยะๆ จนมาถึงลานจตุรัสชื่อดัง คือ St. Mark (San Marco) และแวะถ่ายรูปมุมมหาชนของ Bridge of Sighs พร้อมกับผู้คนที่เบียดเสียดได้แต่เช้า (นี่ก็ว่า พวกเรามาเร็วแล้วนะ 55)
Bridge of Sighs มุมมหาชน
บรรยากาศชิลๆ ที่ Murano
บ้านเรือนแถวนี้เริ่มจะมีสีสันขึ้นมาหน่อยๆ บรรยากาศคนละเรื่องกับเวนิสเลย นักท่องเที่ยวเบาบางกว่าเยอะ ส่วนตัวดูว่าเจริญหูเจริญตามากกว่า (ขาดแค่ไม่มีสิ่งก่อสร้างใหญ่ๆ ดูอลังการ แบบแถวๆ San Marco) ที่เกาะ Murano นี้มีชื่อเสียงที่สุดในเรื่องการเป่าแก้ว แถวท่าเรือ Colona พอขึ้นมาปุ๊บ ก็จะพบโรงงานเป่าแก้วตั้งอยู่แถวนั้นเลยค่ะ ร้านค้าแถวนี้ขายแก้วสวยๆ กันทั้งนั้น แต่ละชิ้นดู แพง แพ้ง แพง ไม่กล้าเข้าใกล้ 555 (และห้ามถ่ายรูปด้วยนะคะ ถือเป็นงานศิลปะเกรดพรีเมี่ยม) ซึ่งในเมื่อสินค้าแถวนี้มันเกินเอื้อมไปเสียแล้ว พวกเราก็เลยทำได้แค่เดินเล่นชมเมือง ไปในเส้นทางสู่อีกท่าเรือหนึ่ง คือ Faro (เดินไม่ไกลค่ะ เกาะเล็กนิดเดียว) เพื่อจะต่อเรือไป Burano ต่อไป
เตรียมตัวต่อคิวขึ้นเรือไป Burano ที่ท่า Faro
คราวนี้ระยะทางเริ่มไกลละ จาก Murano ถึง Burano ใช้เวลานั่งเรือถึงครึ่งชั่วโมง และเกาะ Burano นี้ก็มีขนาดเล็กกว่า Murano เยอะเลยค่ะ ท่าเรือจึงมีแค่นี้ท่าเดียวนี่แหละ แต่เนื่องจากเรือเค้าจะแวะเกาะอื่นข้างๆ ด้วย (คือเกาะ Torcello) ก็อย่าเข้าใจผิดเผลอลงไปก่อนล่ะ ตรวจสอบชื่อท่า ชื่อเกาะกันดีๆ นะคะ 55
สีสันบาดตาที่ Burano
และถึงเล็กก็เล็กพริกขี้หนูค่ะ โอ้โห พ่อคุณแม่คุณเอ๊ยยยย สีสันบ้านเมืองอะไรมันจะสดได้ขนาดนั้น แม่สีบาดทะลุกระจกตาไปเรียบร้อยแล้วค่ะ ของจริงด้วยนะคะ ไม่ใช่เดอะเวเนเซีย หัวหิน เพราะตามบ้านเรือนชาวประมงเค้าใช้ชีวิตกันตามปกติ ตากผ้าให้เห็นกันจะๆ เลย (นักท่องเที่ยวอยากถ่ายรูปก็ถ่ายไป แต่ตรงนี้ชั้นใช้ตากผ้าเป็นประจำจ้ะ ประมาณนั้น 55) ถึงตรงนี้ขอพักสายตา และพักขาสักครู่ ด้วยร้านอาหารข้างคลอง หามื้อเที่ยงเติมพลัง แล้วตระเวนเก็บภาพแม่สีจนหนำใจ ก็ได้เวลาต่อเรือกลับเวนิสแล้ว (เผื่อๆ เวลาไว้หน่อยนะคะ แถวคิวขึ้นเรือยาวทีเดียว กว่าจะได้ขึ้นก็รอหลายรอบอยู่เหมือนกัน)
ตากผ้าเป็นปกติ
อุต๊ะ แม่สีมาเอง
ชิลๆ ใสๆ ก็มีนะ
นั่งเรือกลับแบบเมื่อยๆ
ยังพอมีเวลาอีกนิดๆ ก็เก็บตกบรรยากาศยามเย็นชิลๆ (แต่แดดยังแรงอยู่) แถวๆ จัตุรัส San Marco อีกหน่อยๆ ผู้คนยังเยอะเหมือนเดิม นกพิราบก็เยอะด้วย ตอนเดินนี่ มิสกะโปโลเอามือปิดหัวตลอดเลย กลัวมันอึใส่ เว่อร์มั้ย 555 จากนั้นก็หาท่าเรือที่ใกล้ที่สุด ลอยละล่อง Grand Canal แบบเอื่อยๆ จนมาถึงสถานีรถรางทางฝั่งตะวันตกสุดของเกาะอีกครั้ง โบกมืออำลาเกาะเวนิส นั่งรถรางกลับไปเก็บข้าวของที่ Mestre และขับรถลงใต้ไปยาวๆ จนถึงที่พักในคืนนี้ที่ Rimini ริมทะเลตะวันออกค่ะ
ทริปอิตาลี ตอนเหนือ #5 – Venice, Murano & Burano
ทริปอิตาลี ตอนเหนือ #10 – Cinque Terreทริปอิตาลี ตอนเหนือ #11 – Portofino
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น