เป้าหมายหลักของวันนี้ คือสาธารณรัฐบนขุนเขา Republic of San Marino หนึ่งในรัฐอิสระที่เล็กที่สุดที่ในโลก เห็นรูปภาพจากหลายสื่อ ดูน่าหลงใหลจริงๆ อยากจะไปซะเหลือเกิน … แต่ทำไมโปรแกรมทัวร์ทั่วไป แม้แต่พวกเจาะลึกอย่างแกรนด์อิตาลี ถึงไม่ค่อยไปกันนะ ส่วนใหญ่พอออกจากเวนิสปุ๊บ มักไปต่อฟลอเรนซ์เลย … มันไปยากนักหรืองัย?
เปิด google map ดูก็พอจะเข้าใจอยู่หรอก เพราะการเดินทางจากเวนิสไปยังสาธารณรัฐ San Marino ถึงจะอยู่ฝั่งตะวันออกของประเทศเหมือนกัน แต่ระยะทางก็ไกลอยู่ คือถ้าวิ่งตรงๆ ลงมาก็ 215 ก.ม. ใช้เวลาขับรถ 3 ชั่วโมงครึ่ง แต่ถ้าให้เร็วก็ต้องขึ้นทางด่วน ซึ่งไม่มีตรงๆ ลงมาดีๆ หรอก ต้องวิ่งอ้อมมากินไส้กรอกที่เมือง Bologna นิดนึงก่อน เลยได้ระยะทางเพิ่มขึ้นเป็น 280 ก.ม. แต่ก็เซฟเวลาได้ประมาณ 30-40 นาที … ทีนี้พอมาดูโลเคชั่นของ Bologna ลงไปอีกหน่อยก็ฟลอเรนซ์แล้วสินะ ไม่อ้อมไปอ้อมมาด้วย แกรนด์อิตาลีทัวร์ที่ต้องตะลอนไปให้ครบทั้งประเทศ คงไม่มีเวลามากพอจะอ้อมมาเอ้อระเหยแถวนี้ ลองไปไม่ถึงโรมสิ ได้โดนลูกทัวร์บ่นแหง … เพราะฉะงั้น เมื่อได้โอกาสมาลุยกันเองแบบนี้แล้ว มิสกะโปโลก็ต้องจัดให้หนักๆ เลยสิคะ
ปักหมุดเส้นทางเดินสำรวจเมือง Rimini วงกลมสีชมพูคือที่พักของเรา
ถึงจะเป็นเมืองไม่ดังนัก (สำหรับนักท่องเที่ยวหัวดำอย่างพวกเรา) แต่ก็มีเขตเมืองเก่าและ ZTL ครอบอยู่นะ พวกเราเลือกพักใกล้ๆ ทะเลค่ะ ปลอดภัยจาก ZTL และยังจะได้ไปเดินเล่นริมหาด ชายฝั่งทะเล Adriatic ได้ง่ายๆ อีกด้วย แต่ไหนๆ ก็อุตส่าห์มาแวะทั้งทีละ ไปสำรวจย่านเมืองเก่านิดนึงก่อน ค่อยกลับมานั่งพักชิลๆ ที่ชายทะเลละกัน
บ้านเมืองแสนสงบ เดินเพลินๆ ปราศจากความพลุกพล่านจากบรรดานักท่องเที่ยว
จากที่พักแถบชายฝั่ง เดินไกลเหมือนกัน กว่าจะถึงย่านเมืองเก่า แต่ก็ได้เก็บตกบรรยากาศบ้านเมืองย่านที่อยู่อาศัย แบบที่ไม่ได้ปรุงแต่งอะไรเพื่อการท่องเที่ยวมากนัก เดินๆ แล้วก็สบายใจดี อีกทั้งพอดีว่าวันนี้เป็นวันอาทิตย์ เลยได้ลั้นลาที่ตลาดนัดใจกลางเมืองเก่าด้วย สนุกดีเหมือนกัน
ดูแพลนเส้นทางเดินสำรวจเมือง Rimini ของพวกเราประกอบสิคะ วงกลมสีชมพูคือโรงแรมของเรา (ทำเลดีมากๆ ราคาก็ใช้ได้เลย) และย่านเมืองเก่าก็คือช่วงล่างๆ ของภาพนั่นเอง เอาเข้าจริงเดินไม่ได้ตามนี้เป๊ะๆ หรอก (ไปกลับ 8 กิโล จะไหวหรา 55) แต่ก็เหนื่อยได้ใจแหละ
มีอีกอย่างที่น่าสนใจนอกจากเมืองเก่า ก็คือคลองที่ขุดเข้ามาจากหน้าหาดงัยคะ เป็นคลองตันๆ ที่มาจบลงแค่อ่างเก็บน้ำแถวๆ ย่านเมืองเก่า แต่มีเรือจอดเพียบเป็นร้อยๆ ลำเลย แบ่งเป็นโซนๆ บางโซนเป็นเรือยอร์ชหรู แล้วพอถัดๆ มาก็เป็นเรือประมง มีเครื่องจักรทั้งเบาและหนักติดตั้งด้วย สงสัยว่าเมืองเล็กๆ แห่งนี้ คงมีชื่อเสียงเรื่องอุตสาหกรรมประมงด้วยสินะ
เอาล่ะ ฮึดอีกนิด เดินไปสำรวจชายหาดต่ออีกหน่อยละกัน แม้จะเมื่อยแสนเมื่อยแล้วก็ตาม แต่เมื่อเข้าใกล้ชายหาดเข้าไปเรื่อยๆ ก็เห็นเหมือนมีว่าวลอยอยู่ และมากขึ้นๆ ทุกที จนทนไม่ไหวต้องเข้าไปสำรวจจริงจัง จากนั้นก็เซอร์ไพรส์ค่ะ เมื่อพบว่ามันคือ International Kite Festival เทศกาลว่าวนานาชาติ โอ้ววว ว้าว ไม่ธรรมดาแล้วสินะ บังเอิญสุดๆ ที่เค้าจัดกัน 2 วัน เสาร์อาทิตย์ช่วงต้นๆ เดือน เม.ย. เป็นประจำทุกปีมา 30 กว่าปีแล้ว โอ้โห ฟลุ้คมาก นี่ถ้ามาเที่ยวที่หาดก่อน คงไม่เดินไปสำรวจย่านเมืองเก่ากันแล้วล่ะ อยู่ตรงนี้สนุกมากเลย เพลินสุดๆ ลืมไปเลยว่าเดินมาขนาดไหนแล้ว เจอแบบนี้แรงฮึดก็บังเกิด เดินต่อได้อีก สนุกจริงๆ
สมควรแก่เวลา โอยยย ขาจะหลุด โบกมืออำลา Rimini และเทศกาลว่าวที่แสนประทับใจแต่เพียงแค่นี้ ก่อนจะอดเที่ยว San Marino ไปซะ 55 จาก Rimini ขับรถขึ้นเขาไปถึง San Marino แค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นค่ะ ตอนแรกว่าจะไปจอดใกล้ๆ ทางขึ้นเคเบิ้ลคาร์ แต่ปรากฏว่าดวงชะตาจะไม่ยอมให้เสียตังค์ เพราะเคเบิ้ลคาร์ปิดซ่อมบำรุงช่วงนี้พอดี เลยขับขึ้นไปจอดข้างบนอีกหน่อย แล้วบังเอิญว่าใกล้ร้านอาหารจีนพอดี เลยได้ตัดรสชาติจากสปาเก็ตตี้และพิซซ่า มาเป็นเทสตะวันออกซะเลย อิอิ (แหม ยังอีกหลายวันนะจ๊ะ ทริปนี้)
จากนั้นก็ได้เวลาไต่เขาต่อค่ะ ถึงจะจอดรถที่โลเคชั่นตอนบนขนาดนี้แล้ว ก็ยังต้องไต่ขึ้นเองอีกหน่อย แต่ก็ไม่ได้หนักหนาอะไร (หายเมื่อยจากเมื่อเช้าแล้วสินะ) บ้านเมืองก็น่ารัก ทำให้เดินไปชมวิวไปไม่เบื่อเลย
ทีนี้พอถึงยอดข้างบน ต้องเสียค่าเข้าชมแล้วสินะ เค้ามีตั๋วคอมโบขายเป็นแพ็จเก็จอีกแล้วค่ะ ซึ่งนอกจากหอคอยทั้งสาม ที่ป้อมปราการบนขุนเขานี้แล้ว ยังมีพิพิธภัณฑ์อื่นๆ อีกเยอะรวมอยู่ในแพ็จเก็จ แต่รอบนี้แก๊งส์กะโปโลไม่สนตั๋วคอมโบแล้วค่ะ เพราะตั้งมาใจปีนขึ้นแค่ 2 ป้อมแรก คือ Guaita Rocca และ Cesta Castle เท่านั้น (ส่วนป้อม 3 คือ Montale ก็คงคล้ายๆ กัน แถมไกลด้วย และพิพิธภัณฑ์อื่นๆ เนี่ย ก็คงไม่มีเวลาขนาดนั้น และไม่ค่อยจะสนอยู่แล้วล่ะ) เลยซื้อตั๋วแบบเป็นครั้งๆ ที่แต่ละป้อมนั่นเอง
ป้อม 1 อยู่ตรงหน้านี้แล้ว
สำหรับป้อมแรก คือ Guaita Rocca ก็มีบริเวณให้ปีนป่ายเยอะพอตัวเลยค่ะ แต่เอ ปีนมาหลายตำแหน่งแล้ว ทำไมยังไม่เจอมุมโปสการ์ดซะทีนะ เริ่มจะหมดกำลังใจ จนเมื่อได้ปีนขึ้นหอคอยเท่านั้นแหละ ที่เห็นตรงหน้าคือภาพของป้อม 2 หรือ Cesta Castle มุมเดียวกับในโปสการ์ดเลย สุดยอดมากๆ นี่แหละ ที่เฝ้าตามหามานาน (นานจริงๆ นะ 55)
วิวนี้แหละ ที่เฝ้าตามหา!
ต้องปีนกันขนาดนี้
จากนั้นก็เดินต่ออีกหน่อยไปเสียตังค์เข้าป้อม 2 Cesta Castle ที่เห็นสวยๆ จากป้อม 1 เมื่อกี๊นี้ ป้อมนี้มีที่ให้ปีนป่ายไม่เยอะค่ะ แต่เค้าทดแทนด้วยพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงของโบราณนู่นนี่ต่างๆ ให้ชม ซึ่งพอดีว่าแก๊งส์เราไม่มีผู้ใฝ่หาความรู้ขนาดนั้น เล่นเดินจ้ำอ้าวๆๆ ผ่านนิทรรศการทั้งหลาย หาทางขึ้นไปข้างบนเพื่อชมวิว และถ่ายรูปสวยๆ เท่านั้นแหละ 555 ได้มุมโปสการ์ดของป้อม 1 กลับมาง่ายๆ แบบที่ไม่ต้องค้นหานัก (น่าจะเพราะกำลังปิดปรับปรุงบางส่วน เลยจำกัดบริเวณเข้าชม และไม่เห็นวิวป้อม 3 ค่ะ)
มองย้อนกลับไปป้อม 1 จากหอคอยป้อม 2
เจลาโต้ซักแท่ง หม่ำๆ
จบแล้ว การเยี่ยมชม Republic of San Marino สาธารณะอิสระขนาดจิ๋วบนขุนเขาแบบควิ้กๆ สมใจเดอะแก๊งส์กันเลยละ ก่อนจะขับรถยาวอีก 200 ก.ม. ต้องขอ Gelato ติดไม้ติดมือเป็นของแถมไปคนละแท่ง อิอิ … แต่แหม รสชาติสู้ Gelato ในอิตาลีไม่ได้เลย ห่างกันแค่ขึ้นลงเขาเท่านั้นเอง แต่รสชาติเปลี่ยนไปเยอะเลยนะ … บล็อกหน้า เจอกันที่ทัสคานี ไฮไลท์อันดับ 1 ของทริปนี้นะคะ
ทริปอิตาลี ตอนเหนือ #6 – Rimini & Republic of San Marino
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น