วันที่ 11 ของการเดินทางในทริป UK นี้แล้ว ล้าไปตามๆ กัน ทั้งมิสกะโปโลแอนด์เดอะแก๊งส์ แต่ก็ยังฮึดสู้ค่ะ อีก 2 วันเท่านั้น เรื่องเที่ยวนี่ไม่หวั่นอยู่แล้ว บล็อกนี้ตะลอนไม่ไกลจากลอนดอนแล้ว (ใกล้กลับแล้ว) และจะวนๆ เวียนๆ อยู่แถวกลุ่มหินประหลาด Stone Circle ที่มากระจุกตัวอยู่ที่อังกฤษนี้เป็นร้อยๆ แห่ง (ความรู้สึกคล้ายๆ ก๊อซซิล่าต้องบุกแต่ญี่ปุ่น มนุษย์ต่างดาวต้องบุกแต่อเมริกา อิอิ) เริ่มต้นกันที่ตัวพ่อ คือสโตนเฮ้นจ์ ซึ่งทริปนี้ทั้งทริป ไปมา 3 กลุ่มหิน มีที่นี่แห่งเดียวที่ต้องยอมเสียตังค์แพงๆ เข้าไปชมก้อนหิน หินอะไรมันจะยิ่งใหญ่และค่าตัวแพงได้ขนาดนั้น ต้องพิสูจน์สิคะ … เอาให้คุ้ม
ว่ากันว่าสโตนเฮ้นจ์เนี่ย อายุพอๆ กับปิรามิดที่อียิปต์ และเก่าแก่กว่าอะโครโปลิสของกรีก และโคลอสเซียมของโรมเสียอีก … เทียบกันได้มั้ย? ระหว่างก้อนหินที่เอามาวางกองๆ กับงานก่อสร้างที่ต้องอาศัยเทคนิควิศวกรรมชั้นสูง แม้จะหินก้อนใหญ่ก็เถอะนะ 555 … แต่ก็ยังเรียกแขกได้เยอะค่ะ แต่ละปีมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมมากมาย ค่าเข้าก็ไม่ถูก อุตส่าห์มาต่อคิวรอเยี่ยมชมกัน (พวกเราด้วย คริๆๆ) เดอะแก๊งส์มากันแต่เช้าเลย เพราะไม่อยากเบียดเสียดคนเยอะๆ แต่ถึงกระนั้นก็มีคนอื่นมาถึงก่อนพวกเราแล้วหลายคน ซื้อตั๋วเรียบร้อยก็ต่อคิวขึ้นรถชัทเทิลบัสเพื่อไปส่งให้ถึงใกล้ๆ แล้วเดินต่ออีกนิดเดียว (หรือจะเดินเองยาวๆ เลยก็ได้นะ 2 กิโลนิดๆ เอ๊งงง) ถึงแล้ว ลานทุ่งหญ้าโล่งๆ แต่ดูอลังการเพราะกลุ่มหินก้อนใหญ่ ที่ยักษ์ที่ไหนก็ไม่รู้ มาจัดเรียงไว้เป็นวงกลมกลุ่มนี้ทีเดียว
ในบรรดา Stone Circle ที่มีอยู่เป็นร้อยๆ แห่งในอังกฤษ Stonehenge เป็นที่เดียวที่ไม่ได้มีแค่หินแนวตั้ง แต่มีหินแนวนอนวางพาดอีกด้วย และยังเป็นที่เดียวที่มีการแกะหินให้เรียบเนียน ไม่ขรุขระตามธรรมชาติแบบที่พบเห็นในที่อื่นๆ เรียกว่ามีความพิถีพิถันและตั้งใจสร้างมากกว่าที่อื่นละ นอกจากนี้การจัดเรียง ยังสามารถนำมาคำนวณเส้นทางการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์ สุริยคราส และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับดวงอาทิตย์ได้ด้วย (คงเอาไว้ใช้ประเมิณเรื่องเพาะปลูกต่อ เมื่อไหร่เริ่มปลูก เมื่อไหร่เก็บเกี่ยว และเมื่อไหร่จัดงานเทศกาลรื่นเริงดี ประมาณนั้น) อืม … พอจะมีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์มาเกี่ยวข้องหน่อยๆ ละ
แต่ที่เหลือให้เห็นอยู่ปัจจุบันนี้ เค้าว่าประมาณแค่ครึ่งเดียวของออริจินัลเท่านั้นล่ะค่ะ ส่วนการเยี่ยมชม เค้ามีรั้วกั้นไว้ให้ดูได้แค่รอบๆ ไม่สามารถเข้าไปได้ถึงตัวก้อนหินนะคะ … แต่ถึงจะแค่รอบๆ เดอะแก๊งส์ก็สามารถหาทำเลดีๆ แล้วกระโดดถ่ายรูป สร้างตำนาน Heritage Jump ได้อีก (กระโดดได้ทุกที่ๆ เป็นมรดกโลก 555) จนฝรั่งแถวนั้นมากระโดดตามกันอีกหลายคน (แหม โดนลอกเลียนแบบ 55)
จริงๆ ใกล้ๆ ก็มีกลุ่มหินเล็กๆ อีกประปรายนะ เห็นคนอื่นเค้าเดินไปเหมือนกัน แต่ท่าจะเหนื่อย 55 นั่งชัทเทิลบัสกลับดีกว่า ขากลับเนี่ยสวนกับนักท่องเที่ยวที่มาใหม่อีกตรึมเลย (ถ้ามาเวลานี้คงหาทำเลกระโดดยากขึ้นแล้วละ อิอิ) กลับมาที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวและห้องขายตั๋วอีกครั้ง แวะเข้าไปดูข้างในมิวเซียมข้างๆ ซักหน่อย เค้ามีจัดแสดงเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง หลักฐานทางโบราณคดีต่างๆ และวิดีโอมัลติวิชั่น ส่วนด้านนอกก็มีบ้านเรือนจำลองในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ที่คาดว่าแถบนี้แต่ก่อนเค้าอยู่กันแบบนี้แหละ กับก้อนหินขนาดพอๆ กับของจริง มาวางให้พิสูจน์ว่าใหญ่จริงๆ นะ
ก็พอจะคุ้มกับค่าตั๋วละ จากนั้นขับรถต่ออีกนิดนึง ถึงเมือง Salisbury แวะพักทานมื้อเที่ยง และเดินเล่นชมเมืองย่อยอาหารเล็กน้อย ก่อนจะเคลื่อนย้ายกันต่อไป
ตามแผนเดิม จาก Salisbury เราจะขับต่ออีกประมาณ 65 กิโลไปยังเมืองบาธ (Bath) แต่เอาเข้าจริง ก็ไถลออกนอกเส้นทางไปนิดนึง แวะ Westbury ชม White Horse Hill ซึ่งเป็นเนินเขาที่แกะสลักรูปม้าตัวใหญ่ เห็นได้ชัดแต่ไกลเชียวแหละ เค้าสร้างไว้เป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะของผู้ครองเมืองในอดีต ซึ่งหน้าตาของม้าขาวตัวนี้ในปัจจุบัน ก็โมใหม่จนมีหน้าตาเปลี่ยนไปตามยุคสมัยละ
จริงๆ เมือง Westbury นี้อยู่ระหว่างทางนะ ไถลนอกเส้นทางแค่นิดเดียวเอง แต่เนื่องจากเข้าใจผิด ดันขับขึ้นไปถึงข้างบนเขา ทั้งๆ ที่วิวม้าขาว เค้ามีให้ชมจากข้างล่างจ้า (แหม อุตส่าห์อ้อมขึ้นไปซะไกล) ก็เลยเสียเวลาไปพอสมควร มาถึงบาธเลยเย็นย่ำไปหน่อยละ จะชมเมืองอะไรก็คงไม่ได้มากนักแล้ว เลยเลือกหยิบไฮไลท์มาเยี่ยมชมแค่หนึ่งเดียว คือ Roman and Medieval Bath หรือโรงสปาอาบน้ำโบราณ ที่เป็นที่มาของชื่อเมืองนั่นเอง
ตามชื่อเลยค่ะ โรงอาบน้ำนี้สร้างมาตั้งแต่สมัยโรมันแล้ว รูปปั้นที่รายรอบบ่อใหญ่กลางแจ้งก็หน้าตาเทพเจ้าโรมันทั้งนั้น ข้างในพิพิธภัณฑ์มีจัดแสดงเรื่องราวของสปาโบราณ ห้องต้มน้ำ และรายละเอียดสถาปัตยกรรมอื่นๆ ที่ดูยากๆ ไม่ค่อยจะรู้เรื่อง 55 แป๊บๆ มืดละ เลยได้ช็อตสวยๆ แสงทไวไลท์ภายในโรงสปามาฝาก ดูโรแมนติกดีเหมือนกัน
พอจะมีเวลาอีกนิด แสงแบบนี้ แวะถ่ายรูปสะพาน Pulteney Bridge ได้อีกหน่อย เป็นสะพานที่มีร้านรวงมากมายตั้งอยู่ด้านบน (คล้ายๆ ที่เมือง Florence ในอิตาลี) แต่เผอิญว่ามามืดขนาดนี้ ก็ปิดหมดแล้วสิคะ ไม่ได้ช้อบปิ้งก็ดินเนอร์มื้อเย็นอร่อยๆ กันแถวสะพานนี้แทนละกัน … อิ่มเลยค่ะ
เช้าวันถัดมาเป็นวันเที่ยววันสุดท้ายแล้ว ก่อนจะไปจบทริปที่อีกหนึ่งไฮไลท์ คือ The Making of Harry Potter, WB Studio Tour ขอชะแว้บไปชมกลุ่มหิน stone circle อีกแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล คือที่เมือง Avebury ก่อนนะ ซึ่งบรรยากาศก็น่ารักมากมายเลยค่ะ สงบสดชื่น ได้ใกล้ชิดธรรมชาติ โดยเฉพาะสีส้มแดงสวยงามของฤดูกาล ปราศจากกลุ่มก้อนนักท่องเที่ยวมหาศาล ได้เพลินกับฝูงแกะ เจ้าของพื้นที่ตัวจริงเสียงจริง (แต่กลับไม่ทิ้งบอมบ์ไว้เพียบสะพรึงแบบที่ Castlerigg Stone Circle ที่ North Lake District แฮะ 555)
กลุ่มหินที่ Avebury นี้ ไม่เสียค่าเข้าชมนะคะ บริเวณค่อนข้างกว้างขวางทีเดียว และที่น่าสนใจคือ กลาง circle ก็มีถนนและสี่แยก ตัดแบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 ส่วนเรียบร้อยแล้ว … สงสัยตอนตัดถนน คงไม่ทันรู้ว่ามี stone circle อยู่แถวนี้สินะ 55
ชิลๆ พอประมาณแต่เพียงเท่านี้ แล้วบล็อกหน้า สาวก Harry Potter เตรียมกรี๊ดค่ะ :)
รีวิวเส้นทางทริป UK ครั้งนี้ได้จากบล็อกนี้
ทริป UK - ตอน 1 ลอนดอน
ทริป UK - ตอน 2 ยอร์ค
ทริป UK - ตอน 3 เอดินเบอระ
ทริป UK - ตอน 4 North Lake District, Buttlemere
ทริป UK - ตอน 5 North Lake District, Ullswater
ทริป UK - ตอน 6 Wales
ทริป UK - ตอน 7 วอร์ริค
ทริป UK - ตอน 8 คอทส์โวลส์
ทริป UK - ตอน 9 กลุ่มหินประหลาด (Stonehenge, Avebury, plus Bath)
ทริป UK - ตอน 10 The Making of Harry Potter : WB Studio Tour
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น