My travel diary: ทริปยุโรปตะวันออก ตอน #5

มาเที่ยวเมืองกันอีกครั้งที่ Salzburg ค่ะ แถมยังเป็นเมืองเก่าแก่ท่ามกลางธรรมชาติสวยๆ อันเป็นตำนานของศิลปินและนักดนตรีอัจริยะ Mozart ก็ต้องเหมาบัตรเบ่ง Salzburg card สำหรับเบ่งใช้ทั้งบริการขนส่งสาธารณะ และเข้าชมปราสาท พิพิธภัณฑ์ และสถานที่อื่นๆ อีกมากมาย ให้เป็นทริปที่ดูดีมีสาระขึ้นมานิดๆ ไม่ใช่สักแต่ถ่ายรูปไปเรื่อยเปื่อยสินะ 555 … และเมื่อมีบัตรเบ่งที่จำกัดระยะเวลาเพียงแค่ 1 วัน (หลายวันเค้าก็ขายนะ แต่เราอยู่เที่ยวแค่ 1 วันงัย) กะโปโลแก๊งส์จะใช้ได้คุ้มแค่ไหน มาดูกันเลยค่ะ

ห้องจัดแสดงห้องหนึ่งภายในปราสาท Hellbrunn

ปักหมุดแรกเลย เราจะไปกันไกลถึง Hellbrunn Palace โดยจอดรถทิ้งไว้ที่บ้านพัก และนั่งรถบัสไป (ต้องต่อรถด้วยนะ ไกลใช่เล่นแฮะ) ซึ่งเป้าหมายหลักสำหรับการมาเยือนปราสาท Hellbrunn ก็คือ Trick Fountains หรือน้ำพุขี้เล่น (มิสกะโปตั้งชื่อให้) นั่นเอง ด้วยความที่มีเวลาจำกัดแค่วันเดียว แต่อยากเที่ยวให้มาก (และคุ้มกับที่ลงทุน Salzburg card ไป) ก็เลยมาถึงเป็นคนแรกๆ ค่ะ ได้คิวเข้าชมน้ำพุขี้เล่นรอบแรกของวันเลย ... แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีเวลาเหลือๆ ก่อนถึงคิวรอบแรก เลยเข้าไปชมข้างในปราสาทกันเล่นๆ ก่อน ซึ่งตอนแรกกะว่าจะแค่เดินผ่านๆ ฆ่าเวลา แต่เอาเข้าจริงก็มีอะไรน่าสนใจเยอะดีเหมือนกัน โดยเฉพาะที่เฉลยกลไกของน้ำพุต่างๆ ที่กำลังจะเข้าไปดูต่อจากนี้

นั่งรถเมล์มาคันเดียวกับแก๊งส์เด็กน้อย

https://www.facebook.com/Travelismylifeblog/

Booking.com

ปราสาท Hellbrunn สีเหลืองนวลสวยเชียว

เข้าไปชมข้างในก่อนถึงรอบน้ำพุ

วิธีการพรีเซนต์ของเค้าดีจริง นั่งสบาย หมุนให้ ไม่ต้องเดินเอง

เอาละ ได้เวลาทัวร์น้ำพุขี้เล่นแล้ว ประตูเปิดตรงเวลาเป๊ะๆ และมีไกด์มานำทางช่วยอธิบายนู่นนี่ รวมถึงการพาพวกเราเข้าไปติดกับกลไกน้ำพุขี้เล่นต่างๆ ให้เปียกปอนกันครบทุกคน แต่จะเปียกที่ส่วนไหน หรือเปียกมากเปียกน้อยแค่ไหน ก็แล้วแต่โชคชะตานะคะ เพราะมันมีกลไกซ่อนไว้ทุกที่เลย ตั้งแต่พื้นยันฝ้าเพดาน … ยอมรับเลยว่าเจ้าชาย Archbishop Markus Sittikus เจ้าของปราสาทช่างขี้เล่น (หรือขี้แกล้ง) จริงๆ ... แต่ไกด์เนี่ยชอบแกล้งแน่ๆ ดูแกหัวเราะสะใจดีเหลือเกิน เวลาเห็นลูกทัวร์ตัวเปียก

ข้างในสวนน้ำพุขี้เล่น

ผู้กล้า ณ ด่านแรก

เปียกหมดสิคะ ที่ไม่เปียกมีตัวเดียว ทำไมช่างไม่มีใครเลือก อิอิ

แหม ไกด์ของเรา ดูนางสะใจมาก 555

กลไกแลบลิ้นเมื่อน้ำพอ

ดูฉากตอนแลบลิ้นค่ะ แบร้

ตุ๊กตาแถวนี้ขับเคลื่อนด้วยน้ำทั้งสิ้น

เต่ายิงน้ำถึงกัน เก๋มาก

อันนี้อลังการ ดูจบมีเปียก ขอบอก

ลอยได้ด้วยน้ำ อย่างเท่เลย ตบมือรัวๆๆๆ (มีเปียกขาออก)

เปียกกันเสร็จก็ไม่โอ้เอ้ค่ะ เวลายิ่งน้อยๆ อยู่ แค่ที่แรกที่เดียวก็จะเที่ยงอยู่แล้ว (ขนาดมาเปิดปราสาทเป็นคนแรกๆ นะ) นั่งรถบัสกลับเข้าเมืองและไปต่อกันที่ป้อมปราการเก่าแก่ Hohensalzburg Fortress ซึ่งจากลาน Residenzplatz ลานกว้างที่ใหญ่ที่สุดของเมือง มองเห็นได้ชัดเจนเลย ต้องนั่งรถไฟไต่เขาหรือ funicular ขึ้นไป (ค่ารถไฟไต่เขารวมอยู่ใน Salzburg card แล้ว) ซึ่งเอาเข้าจริงก็ไม่ได้มีอะไรตื่นตาตื่นใจมากมายนัก (สำหรับเรา) เพราะก็มีพิพิธภัณฑ์จัดแสดงหุ่นอัศวิน ภาพวาดของผู้ครองปราสาท และสภาพบ้านเมืองสมัยก่อน ให้ชมเหมือนพิพิธภัณฑ์ทั่วไปนั่นแหละ (โมเมนต์นี้เริ่มไม่ต้องการสาระแล้ว อิอิ) แล้วพอถึงข้างบนสุดก็ได้ชมวิวเมืองหน่อยๆ ... ซึ่งวิวเมือง Salzburg จากมุมสูงก็ไม่ได้น่าตื่นเต้นนักอีกเช่นกัน (แหม เมืองอื่นสวยกว่านี้เยอะแยะ)

ลงรถบัสผิดป้าย ขอถ่ายรูปประจานที แหม ยิ่งรีบๆ

ณ ลาน Residenzplatz

ชมวิวรอบทิศ จากยอดหอคอย Hohensalzburg Fortress

เก้าอี้เก๋ ขอยืมเป็นพร้อพประกอบฉากหน่อย

ร้านอาหารข้างบนป้อมร้านนี้วิวดีแฮะ

จบจากตรงนี้ท้องไส้ก็บอกไม่ไหวแล้ว เลยต้องวิ่งแจ้นหาร้านอาหารกัน ซึ่งวันนี้จัดเป็นอาหารเวียดนามไปค่ะ เป็นร้านเล็กๆ ที่มีอยู่ไม่กี่โต๊ะ (ส่วนใหญ่คง take away ซื้อไปกินข้างนอกกัน) มีเจ้าของร้านเป็นพ่อครัว กับลูกจ้างที่เป็นทั้งคนเสริฟ แคชเชียร์ และม้วนปอเปี๊ยะ ทำทุกอย่างสารพัดกันอยู่ 2 คน (แบบนี้ก็เป็นธุรกิจได้ละ ง่ายดีแฮะ ขายดีด้วย) ลูกค้าที่เผลอเข้าไปนั่งกินในร้านต้องช่วยตัวเองหน่อยๆ นะ แต่ก็สนุกดี อร่อยและไม่แพง ได้อีกบรรยากาศค่ะ

แต่มื้อนี้เรากินกันง่ายๆ แบบนี้

ไม่มีเวลาให้โอ้เอ้เลย พอท้องอิ่มก็พากันไปต่อที่ปักหมุดที่ 3 ทันที นี่เลยค่ะ อาคารสวยๆ หรูๆ ใหญ่ๆ ที่ตั่งเด่นตรงหน้ากลาง Residenzplatz ได้แก่ DomQuartier หรือ Salzburg Cathedral นั่นเอง (อยากเข้ามานานแล้ว) แต่พอเข้าไปก็รู้สึกว่า มันเหนื่อยมาก เพราะมันทั้งสวย หรู โอ่อ่า น่าเดิน (จริงๆ นะ) แต่ด้วยความที่มันใหญ่โตมาก เสร็จจากอาคารนี้ยังมีต่ออีกอาคาร ... คือที่เห็นหรูๆ ใหญ่ๆ ครอบคลุมบริเวณแถวนั้นทั้งหมดเลยนั่นแหละค่ะ (และเราก็เหนื่อยมาจาก 2 ที่แรกประมาณนึงแล้ว) ... เมื่อไหร่จะจบคอร์สเนี่ย แถมยังมี exhibition ชั่วคราวที่น่าสนใจน่าเดินอีก เมื่อยสุดๆ จนต้องขอเค้าออกตรงกลางทาง ออกตรงทางออกพิเศษ แล้ววิ่งเอา audio guide กลับไปคืนตรงทางเข้าอีกครั้ง ... ได้สาระแบบครึ่งๆ กลางๆ แล้วก็หมดแรงเอาซะอย่างนั้น ... เป็นประสบการณ์แบบกะโปโลดีจริงๆ แหะๆ

ด่านแรก ณ DomQuartier ... แค่บันไดขึ้นก็สะท้านแล้ว

โอ่อ่า อลังการจริงๆ

ขอออกตรงทางออกพิเศษ ออกมาก็เจอแบบนี้ น่ารักจุง

แต่ๆๆ ช้าก่อน แม้จะใช้ Salzburg card ไปจนคุ้มแล้ว ก็ยังมีเวลาอีกหน่อย จนกว่าพิพิธภัณฑ์ที่มีอยู่อย่างมากมายแถวนี้จะได้เวลาปิด เดอะแก๊งส์ก็เลยจัดไปอีก 2 แห่งแบบเร็วๆ คือ Chrismast Museum และ Mozart's Birthplace เป็นการเพิ่มเติมสาระที่ตกหล่นไปได้อีกนิดๆ (ฝั่งนี้เป็นบ้านเกิดสมัยเด็กๆ ของโมซาร์ท แต่ยังมีตรงอีกฝั่งข้ามแม่น้ำไป เป็นบ้านที่โมซาร์ทอยู่ตอนโต ใช้เป็นสถานที่ทำงานและสร้างสรรค์ผลงานดีๆ ซึ่งรอบนี้ไม่ได้ไปค่ะ)

ชม Christmas Museum แบบควิ้กๆ

ถนน Getreidegasse คึกคักสุดๆ

หาสาระเพิ่มเติมให้ชีวิตอีกหน่อยๆ ณ บ้านเกิดของโมซาร์ทค่ะ

และบ้านเกิดของโมซาร์ทก็ตั้งอยู่บนถนน Getreidegasse ที่เรียกได้ว่าน่าจะคึกคักที่สุดของเมืองแล้วล่ะ เก็บพ้อยต์จนเหนื่อยและเมื่อยล้าขนาดนี้ หาร้านขนมอร่อยๆ เข้ากันดีกว่า ซึ่งร้านที่ชื่อเหมือนศิลปินระดับโลกร้านนี้ ต้องบอกเลยว่าราคาไม่เบาจริงๆ ทำเอากระเป๋าสตางค์ของเดอะแก๊งส์เบาหวิว จากนั้นก็มาเดินเล่นบนถนน Getreidegasse ชมป้ายร้านสวยๆ (เค้าโดดเด่นเรื่องป้ายร้านจริงๆ นะ) กันเพลินเลย

พักเหนื่อยที่ร้านขนมฝั่งตรงข้าม

จานนี้หน้าตาดีมาก แต่ราคาก็รุนแรงเหลือเกิน

ป้ายเก๋ๆ บนถนน Getreidegasse

เป็ดก็โมซาร์ท

มีร้าน Red Bull ด้วย เท่จัง

ของในร้านดูดีสุดๆ

สุดถนนละ

ยังค่ะ ยังไม่จบแค่นั้น แม้จะไม่มีพิพิธภัณฑ์ไหนเปิดให้ได้ใช้ Salzburg card เข้าไปชมอีกแล้ว แต่การเที่ยวเมือง Salzburg ของเรายังไม่จบแค่นั้น ข้ามแม่น้ำไปอีกฝั่ง แล้วเดินต่อไปจนถึง Mirabell Palace และสวนสวย ซึมซับบรรยากาศ The sound of music ในยามเย็น จนถึงช่วงเวลาไลท์อัพนั่นแหละ ถึงได้ยอมจบ แล้วค่อยตามหามื้อเย็นส่งท้ายวันแห่งการใช้พลังขาแบบสุดๆ ก่อนจะจับรถบัสกลับที่พัก เป็นการปิดฉากการใช้งาน Salzburg card ใน 1 วัน ที่สุดจะเกินคุ้มของเหล่ากะโปโลแก๊งส์