และแล้ววันนี้ที่รอคอยก็มาถึง เป็นวันที่เราจะได้พบกับน้องหมาแห่งบ้าน Snow Dog กับกิจกรรมลากเลื่อน dog sledding ซึ่งอันที่จริงที่ไอซ์แลนด์ก็มีหลายฟาร์มอยู่นะ แต่ในเดือน เม.ย. ทางด้านใต้หิมะจะเริ่มละลายแล้ว (แบบที่ทำให้เราอดไฮกิ้งที่บางน้ำตกงัย) น้องหมาจะต้องลากพวกเราไปบนพื้นธรรมดาน่ะสิ แต่ถ้าอยากให้น้องหมาพาวิ่งบนพื้นหิมะหรือพื้นน้ำแข็ง ก็ต้องขึ้นมาเหนือๆ หน่อย แบบที่ Myvatn เนี่ยแหละ เหมาะเหม็งเลย (คอนเฟิร์มได้จากสภาพตั้งแต่เมื่อบล็อกที่แล้ว)
โดยที่ Myvatn นี้มีฟาร์มอยู่แห่งหนึ่งที่ www.snowdogs.is ซึ่งก็ใหญ่เหมือนกันนะ แต่เนื่องจากเป็นกิจการ SME ก็จะรับได้เต็มที่ 3 คู่ต่อวันเท่านั้น (มากับกรุ๊ปทัวร์นี่หมดสิทธิ์ชัวร์ เค้ารับไม่ไหวแน่) ตอนมิสกะโปโลจองไป 2 คู่เสร็จปุ๊บ ระบบเด้งขึ้นมาเลยบอกว่า “เต็ม” เรียบร้อยแล้ว … อันนี้ถือว่าใจป้ำมากเลยนะ ยังไม่รู้สภาพอากาศวันนั้นจะเป็นยังงัย และค่าบริการก็แสนแพง (ประมาณคนละหมื่นเลย) แต่ก็ตัดใจจองไปเรียบร้อย รูดบัตรกันปรื๊ดๆ ซึ่งถ้าเกิดพอถึงวันที่เราจองไว้แล้วสภาพอากาศมันไม่ได้จริงๆ จำเป็นต้อง cancel เค้าก็จะคืนเงินให้ แต่ถ้า cancel จากพวกเราเอง จะคืนให้บางส่วนหรือไม่คืนให้เลย ขึ้นกับแจ้งล่วงหน้ากี่วัน
เช้านี้ที่หน้าโรงแรม
แล้วบังเอิญว่า จำ psedo craters ที่ไปแวะมาเมื่อวานแล้วหมดแรงจะไฮกิ้งได้มั้ยคะ อยู่ข้างๆ ทะเลสาบ Myvatn ที่แข็งเป็นน้ำแข็งนั่นแหละ (ถ้าจำไม่ได้ดูบล็อกนี้ #6) … ปรากฏว่าเมื่อเย็นวาน มีเมล์มาจาก snowdog แจ้งมาว่าหิมะแถวรอบๆ ฟาร์มสภาพไม่ค่อยดีแล้ว เค้าจะหอบหิ้วน้องหมาในจำนวนที่เพียงพอต่อการลากพวกเรา 2 คู่ พามาให้วิ่งเล่นที่ทะเลสาป Myvatn แทน และนัดเจอกันที่ลานจอดรถของ psedo craters จากนั้นถ้าอยากมาเยี่ยมฟาร์มต่อก็ย่อมได้
นั่ง super jeep คันนี้ลงมาบนทะเลสาบที่เป็นน้ำแข็ง
เยี่ยมไปเลยสิ ดีนะไม่ได้ออกแรงเดินไฮกิ้งเองเมื่อวาน วันนี้จะได้น้องหมาขนปุยพันธุ์ไซบีเรียนฮัสกี้มาลากเลื่อนพาชมชิลๆ แถมยังบนทะเลสาบ Myvatn ที่เป็นน้ำแข็งด้วย หูยยยย เป็นองค์ประกอบที่ลงตัวที่สุดของที่สุด เลอค่ามั้ยล่ะคะ
น้ำแข็งหนามาก
น้องหมารออยู่
ได้เวลานัด พวกเรามาเจอกับทีมงานของ snow dog ตามนัดหมาย ได้นั่งรถ super jeep ขนาดกลางพาขับจากลานจอดรถ ดุ่ยๆ ทิ่มลงไปบนทะเลสาบเลยค่ะ ว้าวววว ตื่นเต้นสุดๆ น้ำแข็งมันหนามากขนาดรองรับน้ำหนักของรถคันใหญ่ทั้งคันแบบนี้ได้ จากนั้นก็มาเจอกับทีมงานอีกคน ซึ่งกำลังเตรียมน้องหมาจำนวน 14 ตัวและอุปกรณ์ต่างๆ สำหรับพวกเรา 2 คู่ อยู่บนทะเลสาบที่เป็นน้ำแข็ง เธอเป็นสุภาพสตรีเจ้าของฟาร์มนั่นเอง (ส่วนคนที่พานั่ง super jeep มาเป็นผู้ช่วย freelance จากสเปน ที่มาใช้ชีวิตอยู่แถวนี้ และรับจ้างออกงาน adventure ประมาณนี้แหละ เค้าบอกว่าชอบแบบนี้)
ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งกอด
กอดได้แล้ว
มิสกะโปโลเห็นน้องหมานั่งรอกันหน้าตาสลอนขนาดนั้น ก็โผเข้าหาเลยสิคะ แต่ทีมงานห้ามไว้เพราะกลัวน้องหมาจะต้อนรับแบบคนไม่คุ้ยเคยน่ะสิ ก็เลยต้องเบรคกันเล็กน้อยและสร้างความคุ้นเคยแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งก็แป๊บเดียวเท่านั้นแหละ พวกมันเข้ากับคนง่ายจะตาย
จากนั้นทีมงานก็แจกชุด winter suit แบบเต็มยศตามไซส์ที่ได้แจ้งไว้ก่อนหน้า พร้อมถุงมืออย่างหนา และหน้ากากปิดหน้าที่สกรีนรูปน้องหมาฮัสกี้ไว้หลายตัวเลย (กลายเป็นมีหมาอยู่เต็มปากเลยสินะ 55) นี่ขนาดใส่เสื้อหนาวหนาๆ มาแล้ว ก็ยังต้องใส่ winter suit ทับให้ตุ้ยนุ้ยเข้าไปอีก แต่ดีแล้วค่ะ เพราะพอนั่งบนเลื่อนนานๆ โดยไม่ได้ออกแรงอะไร มันจะยะเยือกขึ้นมาเอง แถมลมแถวนี้ก็ใช่เล่นซะที่ไหน ใส่ปุ๊บอุ่นปั๊บ น่ายืมไปใช้สุดๆ 55
ใส่ชุด เตรียมพร้อมลุย
เจ้าของฟาร์มบอกว่าเป็นเรื่องปกติที่ต้องพาน้องหมาหลายตัวขนาดนี้มาทำงานนอกสถานที่ เพราะอยากให้ลูกค้าได้สนุกบนพื้นหิมะหรือพื้นน้ำแข็งจริงๆ ซึ่งในช่วงนี้ทางด้านใต้ของทะเลสาบยังเป็นน้ำแข็งอยู่ (และคนนำก็ต้องรู้จักเส้นทางเป็นอย่างดี ไม่งั้นวิ่งๆ ไปเจอน้ำแข็งบางๆ ได้ตกน้ำกันพอดี 55) แต่อีกซักพักเมื่อน้ำแข็งในทะเลสาบเริ่มละลาย ก็ต้องพากันไปไกลถึงใกล้ๆ ยอด Krafla crater (ที่แวะไปมาเมื่อวานและเจอแต่ความขาวโพลนงัย) ซึ่งก็ไกลจากฟาร์มยิ่งขึ้นไปอีก และน้องหมาก็จะออกอาการงอแงนิดนึง เพราะไม่ชอบเบียดๆ กันในรถนาน
แนะนำวิธีขับเลื่อน
จากนั้นก็ใกล้พร้อมจะเริ่มละ น้องหมาดูรู้คิวเป็นที่สุด ลุกขึ้นมากระโดดโลดเต้นส่งเสียงเห่าหอนกันระรัว ประมาณว่าพร้อมแล้ว อยากวิ่งแล้ว วิ่งซะที รออะไร 55 ทีมงานบอกว่าน้องหมาพันธุ์นี้เค้าเป็นพวกใช้แรงงาน ถ้าไม่ได้เบิร์นจะหงุดหงิดรำคาญใจและทะเลาะกันเอง ถ้าวันไหนไม่มีลูกค้าให้ลากเลื่อน ก็ต้องหารถหาของหนักๆ มาให้ออกแรง แต่ก็ต้องดูแลและผูกเชือกไว้อย่างดีเลยนะ ไม่มีการปล่อยให้วิ่งเล่นรอบฟาร์มกันเอง เพราะถ้าอย่างนั้นอาจจะหายเข้ารกเข้าพงไปล่ากระต่ายแทนได้ … ขนาดนั้น 55
เอาละ น้องหมาพร้อมกันขนาดนี้แล้ว คนจะรออะไร ก็ไปกันเลยสิคะ เย้ๆๆๆๆ สนุกสุดๆ นั่งอยู่บนเลื่อนก็แชะๆๆๆ เมามันเลยทีเดียว วิวสวย น้องหมาน่ารัก ไม่ต้องออกแรงเอง เพลินสุดๆ แต่ก็มีเบรกเป็นพักๆ นะ เพราะบางทีเชือกพันกันต้องมาแกะก่อน บางทีก็พวกเราหนาวเกินต้องขอให้หยุดเพื่อจัดการกับเครื่องแต่งตัวให้รัดกุมขึ้นอีกนิด หรือบางทีก็เจอเหตุการณ์ เช่น ทัวร์ขี่ม้าของกรุ๊ปอื่นไรงี้ ก็ต้องหยุดนิดนึงให้ห่างๆ กันไปก่อน (ทีมงานบอกว่าถ้าให้น้องหมาตื่นเต้น อาจจะวิ่งโผเข้าไปหาม้าอย่างรวดเร็ว … ขนาดนั้น) และหยุดพักทีไรก็ … ดูพวกมันสิคะ นอนสลบเหมือดเลย เหมือนจะเหนื่อย แต่พอจะเริ่มวิ่งอีกครั้ง ก็กระโดดโลดเต้นดีใจ เอ๊ะ ยังงัย เดาใจไม่ถูกกันเลยทีเดียว … แต่พวกเราน่ะสนุกอยู่แล้ว
น้องหมา ลุย!!
เหนื่อยจุง สลบแพร้บ
เชือกพันกันซะละ
วิ่งๆ รวมระยะทางไปกลับวนๆ รอบทะเลสาบด้านใต้ ก็น่าจะประมาณสิบกว่ากิโลเห็นจะได้ เสร็จปุ๊บก็ต้องรีบให้น้ำน้องหมากันเลยทีเดียว น่าจะหอบแฮ่กอยู่ 55 จากนั้นก็มีเวลาได้เกลือกกลิ้งบนพื้นหิมะกับน้องหมาซักพัก นานๆ ทีเวลาน้องหมาได้เจอคนตัวเล็กกว่า อย่างเช่นผู้หญิงชาวเอเชียอย่างพวกเรา ก็มีรุมแกล้งเหมือนกันนะ แหม 55 จากนั้นก็เก็บของเตรียมกลับฟาร์ม และพวกเราก็ตามไปเยี่ยมชมด้วยเช่นกัน
ดื่มน้ำจ้าาา
กลิ้งบนหิมะกับน้องหมา
มารุมเค้าทำไม
เตรียมกลับฟาร์ม หน้าจ๋อยเชียว
ชมคลิปสุดมันส์กับบรรดาน้องหมาได้เลยค่ะ
ที่ฟาร์มยังมีน้องหมาอีกหลายตัว ทั้งที่โตเต็มวัยทำงานได้แล้วแบบ 14 ตัวเมื่อกี๊นี้ และที่ยังเป็นลูกหมาอีก 2-3 ตัว … ทีนี้พอมาเหยียบถึงถิ่น ก็เสร็จพวกมันสิคะ ย่อตัวปุ๊บเป็นโดนรุมปั๊บ แหมๆๆ เจ้าพวกนี้
ฟาร์ม snow dog
ถิ่นน้องหมา
ซุกมุมแบบนี้ก็ดูเจี๋ยมเจี้ยมดี
ลูกหมาก็มี
จากนั้นก็มื้อเที่ยงแบบพกพา คือแซนวิชที่เตรียมกันมาเองนั่นเอง กินกันบนรถเพราะไม่รู้จากนี้จะไปหาร้านอาหารที่ไหน และไม่อยากเสียเวลาแล้วด้วย เพราะยังต้องเดินทางอีกยาวไกล
พอได้ทีก็รุมเชียวนะ
อาหารน้องหมา กินจุจัง
โดยปักหมุดต่อไปคือน้ำตก Goðafoss หรือ Waterfall of the Gods ซึ่งห่างออกไปอีกประมาณ 40 กิโล ตอนแรกกะว่าถ้าไม่มีเวลา (เพราะต้องเก็บตกที่เที่ยวเมื่อวาน ถ้าอากาศไม่ดี ทำให้เที่ยวได้ไม่ครบ เป็นต้น) จะตัดทิ้งแล้วเชียว แต่ปรากฏว่าพอไปถึง โอ้ววว ว้าววว มันสวยมากกกก ไม่เหมือนน้ำตกทางใต้ที่ออกแนวสูง แต่น้ำไหลเป็นเส้นๆ Goðafoss ไหลเป็นสายธารแนวกว้างเลยค่ะ ขับรถไปจอดใกล้ๆ ดูได้จากทั้ง 2 ฝั่ง (แต่อีกฝั่งต้องออกแรงเดินไฮกิ้งเล็กๆ) สวยงามแค่ไหนดูรูปกันเองเลย แถมอากาศก็ดี๊ ดี เพอร์เฟคไปซะทุกสิ่งอย่าง
Godafoss สวยจัง
ข้ามมาอีกฝั่ง ต้องเดินเล็กน้อย
ฝั่งนี้ก็สวย
ธรรมชาติสวยจริงแต่ถ้าเยอะไปก็อาจเอียนได้ เพราะฉะนั้นถัดจากนี้แวะเมืองเปลี่ยนบรรยากาศกันหน่อย หาร้านดีๆ นั่งกินอาหารอร่อยๆ กันชิลๆ บ้าง 55 ปักหมุดถัดมาจึงเป็นเมือง Akureyri ซึ่งใหญ่เป็นอันดับสองรองจากเมืองหลวง Reykjavík แต่สำหรับนักท่องเที่ยวแล้ว แค่เดินจากโบสถ์ Akureyri Church ผ่านถนน Hafnarstræti จัตุรัส Ráðhústorg และย้อนกลับผ่านทางอีกถนนคือ Skipagata ก็วนครบแล้วภายในไม่เกิน 15 นาที ถ้าถ่ายรูปด้วยแถมให้เป็นครึ่งชั่วโมงเลยก็ได้ เต็มที่
โบสถ์ประจำเมือง Akureyri
วิวบ้านเมืองริมชายฝั่งทางเหนือ
ถนนสายหลัก
ชักจะหิวละ
แป๊บๆ ก็เดินครบ
เพราะฉะนั้นอย่าห่วงเที่ยว มาหาร้านอาหารกันเลยดีกว่า มื้อเย็นวันนี้เลือกได้ร้านอาหารไทยรสเด็ดให้หายคิดถึง แถมราคายังไม่แพงมากถ้าเทียบกับร้านสไตล์ตะวันตก ก็เลยอิ่มอร่อยกันไป แล้วหาซูเปอร์เดินซื้อของตุนเสบียงต่ออีกหน่อย ก็ได้เวลาเดินทางไกลอีก 145 ก.ม. ถึงที่พักในเมือง Blönduós สิริรวมระยะทางขับรถวันนี้ทั้งหมด 240 ก.ม. … แค่เบาะๆ สินะ :)
มื้อนี้อร่อยเลย
แล้วก็เป็นคืนสุดท้ายของทริปที่ solar activity มีค่าสูงพอจะลุ้นได้เห็นแสงเหนือ แต่เอาเข้าจริงค่ามันแรงๆ ตอนช่วง 3 ทุ่ม ซึ่งฟ้ายังสว่างโล่อยู่เลย ผ่านไปซักพักพอฟ้ามืดก็ไม่เห็น solar activity กลับมาสูงโด่งอีกแล้ว แต่เดอะแก๊งส์ก็ยังเลือกจะออกไปเสี่ยงดวงกัน โดยขับรถไปตะลอนหาโลเคชันไกลจากโรงแรมหน่อยๆ ซึ่งสุดท้ายก็ได้ภาพกลับมาแบบเบลอๆ พร้อมเสียงบ่นว่าเมื่อวานสวยกว่า ก็เป็นอันจบกันแค่นี้กับแสงเหนือค่ะ เพราะตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป อากาศจะเริ่มไม่ดีแล้ว คงหมดสิทธิ์แต่เพียงเท่านี้ … ส่วนมิสกะโปโลก็หลับสบายไม่รู้เรื่องเลยค่ะ อิอิ
แสงคืนนี้มันแตกๆ เมื่อวานสวยกว่าน้าาา ^__-
บทความทั้งหมด
แนะนำเส้นทางเที่ยวยุโรป
ทริปไอซ์แลนด์ ตอน 1 – Route plan & Reykjavík town center
ทริปไอซ์แลนด์ ตอน 2 – น้ำตก Seljalandsfoss, Skógafoss, ผาหินบะซอลต์
ทริปไอซ์แลนด์ ตอน 3 – Svartifoss, Jökulsárlón, Vesturhorn
ทริปไอซ์แลนด์ ตอน 4 – Myvatn
ทริปไอซ์แลนด์ ตอน 5 – Snow dog, Goðafoss, Akureyri
ทริปไอซ์แลนด์ ตอน 6 – Hvítserkur, Kirkjufellsfoss
ทริปไอซ์แลนด์ ตอน 7 – Into the Glacier Langjokull
ทริปไอซ์แลนด์ ตอน 8 – Golden Circle
ทริปไอซ์แลนด์ ตอน 9 – แถม 1 วันที่ Copenhagen
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น