มิสกะโปโล และ ทิปิจัง ขอนำเสนอ บล็อกประสบการณ์ท่องเที่ยว ทั้งในและต่างประเทศ ที่จะแบ่งปันเรื่องราวดีๆ ให้กับเพื่อนๆ ทุกท่านที่สนใจค่ะ

21 มีนาคม 2561

1-day trip เกียวโตะ


พาไป 1-day trip มาหลายเมืองแล้ว บล็อกนี้มาอีกเมืองที่โด่งดังไม่แพ้ใคร คือเกียวโตะ (Kyoto) อดีตเมืองหลวงเก่าแก่ในย่านคันไซ ที่อยู่ไม่ไกลจากโอซาก้านั่นเอง (นั่งรถไฟแค่ประมาณครึ่งชั่วโมงเองค่ะ) แต่หลังจากที่มาถึงเกียวโตะแล้ว จะไปไหนต่อไหน ส่วนใหญ่ต้องพึ่งพารถบัส เพราะเกียวโตะอัดแน่นไปด้วยวัดวาอาราม และโบราณสถานสำคัญทางประวัติศาสตร์มากมาย จะให้รถไฟทั้งบนดินและใต้ดินมาวิ่งกันขวักไขว่เหมือนในเมืองสมัยใหม่อื่นๆ ก็คงจะไม่ไหว

แถวคิวขึ้นรถบัสหน้าสถานี Kyoto เป็นระเบียบเรียบร้อยมาก

ด้วยความที่เป็นเป็นเมืองหลวงเก่าของประเทศญี่ปุ่น ตั้งแต่เมื่อพันปีก่อนจะย้ายไปที่โตเกียว จึงเป็นแหล่งกำเนิดของศิลปะ วัฒนธรรม ศาสนา และแนวคิดต่างๆ มากมาย รวมถึงประณีตศิลป์ และสถาปัตยกรรมหลายต่อหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นปราสาทราชวัง วัดวาอาราม หรือศาลเจ้าอันทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ซึ่งสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไป ที่ต้องตระเวนไปตามสถานที่หลายแห่ง ก็สามารถซื้อตั๋วรถบัสแบบ One Day Pass ที่เหมาจ่ายเป็นรายวัน และขึ้นลงรถบัสกี่รอบก็ได้ค่ะ

รถบัสมาจอดเทียบที่ป้ายแล้ว

 Find MsKapolo and Behind-The-Design-Story on Facebook

https://www.facebook.com/Travelismylifeblog/

Booking.com

ในการขึ้นรถบัส เค้าไม่มีกระเป๋ารถเมล์มาคอยเก็บเงิน หรือตะโกนชิดในหน่อยแบบที่บ้านเรานะ ดังนั้นกฎกติกาที่ต้องรู้ก็คือ เวลาขึ้น (ส่วนใหญ่ประตูทางขึ้นจะอยู่ตรงกลางรถ) ก็หยิบตั๋วที่แสดงว่าขึ้นจากป้ายไหนติดมือมาด้วย แล้วตอนจะลง (ซึ่งทางลงก็มักอยู่ด้านหน้าใกล้คนขับ) ถึงค่อยจ่ายค่าโดยสายตามระยะทาง โดยดูจากหมายเลขบนหน้าตั๋วที่หยิบมาตอนขาขึ้นนั่นแหละ หย่อนลงไปในกระปุกข้างคนขับ ทั้งเศษสตางค์ตรงตามจำนวน และตั๋วที่หยิบมาอันนั้น แต่ถ้าเศษสตางค์ไม่พอ ก็หยอดธนบัตรเข้าไปในเครื่องแลกเงินอัตโนมัติ เพื่อแลกเป็นเหรียญออกมาก่อน (อยู่ใกล้ๆ คนขับทั้งหมดนั่นแหละ) ทำให้เวลามีคนลงที่ป้ายเยอะๆ ตรงแถวประตูทางลงจะติดขัดมากทีเดียว … ยกเว้นว่าถ้าถือ One Day Pass อยู่แล้ว ก็แค่เสียบตั๋วเข้าเครื่องตรวจบัตรตอนขาลงแทน ง่ายๆ แบบนี้เอง ไม่ต้องวุ่นวายแลกเศษสตางค์เลย (หรือบางครั้งแค่หยิบมาโชว์เฉยๆ คนขับก็ไม่ว่าอะไรแล้ว เพราะคนที่นี่ค่อนข้างซื่อสัตย์ค่ะ)

เริ่มต้นที่วัด Kiyomizu บนเขา ออกแรงฮึ้บๆๆ

และสำหรับเวลา 1 วันที่มี จะไปไหนกันได้บ้างล่ะ ถ้าแบบที่ไม่เหนื่อยจนเกินไป (ตามสภาพจราจร) และเที่ยวเกียวโตะได้ครบทุกรสชาติ ทิปิจังของเสนอคอร์สเริ่มต้นสำหรับทุกเพศวัย โดยปักหมุดแรกที่ คือ วัดคิโยมิซึ (Kiyomizudera) ซึ่งคนไทยนิยมเรียกว่าวัดน้ำใส เป็นวัดพุทธบนเขาที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่ง เปิดรับนักท่องเที่ยวจำนวนมหาศาลทุกวัน ระหว่างทางจากป้ายรถบัสขึ้นเขาไปวัด มีร้านขายของที่ระลึก ร้านขนม และร้านน้ำชามากมาย ทำให้เคลื่อนตัวไปได้อย่างเชื่องช้า (เพราะแวะตลอด อร่อยทุกร้านเลย 555)

ผู้คนกับร้านค้า มากพอๆ กัน

อร่อยทุกอย่าง

เรียกให้ชิมก็ชิมค่ะ

ตัวอารามด้านในวัดคิโยมิซึที่ทำด้วยไม้ เป็นจุดชมวิวที่เห็นเป็นระเบียงวัดยื่นเด่นออกมาเหนือหุบเขา และเห็นวิวเมืองเกียวโตะได้ชัดเจน (โปสการ์ดส่วนใหญ่ก็มุมนี้เลย) ใครมาเยือนเป็นต้องแย่งชิงโลเคชั่นนี้ถ่ายรูปกลับไปจนได้ แต่จริงๆ แล้วความน่าอัศจรรย์ของวัดคิโยมิซึไม่ได้อยู่ที่จุดชมวิวสวยๆ บนระเบียงนี้หรอกนะ อยู่ที่ฐานรากของอารามวัดต่างหาก เพราะสร้างขึ้นจากไม้ซุงนับร้อยต้น นำมาสานขัดกันโดยไม่ใช้ตะปูตอกยึดใดๆ นับเป็นผลงานทางวิศวกรรมอันน่าทึ่ง (ตั้งแต่เมื่อพันปีก่อนแน่ะ) และหลังจากนี้เมื่อลงมาด้านล่าง ก็จะพบกับสายน้ำศักดิ์สิทธิ์สามสาย (ซึ่งเป็นที่มาของชื่อวัดน้ำใส) แต่ละสายมีความหมายเฉพาะคือ ทรัพย์สิน สุขภาพ และสติปัญญา ซึ่งศักดิ์สิทธิ์ระดับนี้ ต่อให้แถวคิวยาวเหยียดแค่ไหน ก็ต้องต่อละ

ถึงหน้าวัดละ

นั่นงัยระเบียงไม้อันลือชื่อ

มุมมหาชน

ศาลเจ้าย่อยๆ ในวัดน้ำใส เป็นศาลเจ้าแห่งความรักซะด้วย

มุมเสี่ยงทาย ทำนายรัก

ใส่กิโมโนเที่ยวก็เพลินดีค่ะ

สายน้ำศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 3 สาย

มีพระมาธุดงค์แถวนี้ด้วย

https://www.facebook.com/Travelismylifeblog/

 Find MsKapolo and Behind-The-Design-Story on Facebook

แค่นี้ก็หมดไปครึ่งวันแล้ว แวะเติมพลังมื้อเที่ยงก่อนตะลอนกันต่อนิดนึงค่ะ จากนั้นก็เคลื่อนย้ายไปยังจุดหมายที่ 2 ซึ่งจะเป็นที่ไหนไปไม่ได้ นอกจากคิงคะคุจิ (Kinkakuji) หรือปราสาททอง สถานที่ตากอากาศของโชกุนโยชิมิทสึ ในเรื่องอิคคิวซังนั่นเอง ตัวปราสาทสีทองอร่ามอลังการมากมาย และสระน้ำก็สะท้อนภาพปราสาทสีทองได้สวยงามจับใจ (โดยเฉพาะในวันที่อากาศดี) นอกจากนี้สวนญี่ปุ่นรอบๆ ก็ตกแต่งราวกับเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ตามแนวคติความเชื่อของนิกายเซน พื้นที่นิดเดียว (เท่าที่เปิดให้เข้าชม) เดินแป๊บๆ ก็เที่ยวครบแล้ว (ไม่เหมือนวัดคิโยมิซึที่ต้องขึ้นลงเขาแฮ่กๆ)

พื้นที่ไม่เยอะเท่าไหร่ ชิลๆ ค่ะ

ทางเข้าปราสาทด้านหน้า

ปราสาทสีทองอร่ามอลังการ สะท้อนผิวน้ำงดงามมากๆ

มุมร้านขายของด้านนอก แถวป้ายรถบัส

แรงยังเหลือเฟือก็ไปต่อที่ศาลเจ้าเฮอัน หรือเฮอันจิงกู (Heian Jingu) กันสิคะ ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นศาสนสถานในลัทธิชินโต สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1895 เพื่อฉลองในวาระที่เกียวโตะเป็นเมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่นมากว่าพันปี ซึ่งถ้ามาเร็วก็จะทันได้เข้าชมสวนสมุนไพรด้านในด้วย แต่ถ้าลั้นตาที่ถนนร้านค้าแถบวัดน้ำใสเพลิน จนนาน น้าน นาน ก็มาไม่ทันแบบทิปิจังสิคะ เลยชมได้เฉพาะด้านนอกของศาลเจ้าชินโตสีแดงฉาน ที่ตัดกับกระเบื้องหลังคาสีเขียวสไตล์จีนนิดๆ ได้เท่านั้นเอง

มาต่อที่ศาลเจ้าเฮอัน

ทางเข้าด้านหน้า Heian Jingu

ข้างในก็จะเป็นลานกว้างหน่อยๆ แบบนี้

Main hall @Heian Jingu Shrine

ถังเหล้าสาเกศักดิ์สิทธิ์ในศาลเจ้า

ตรงป้ายรถบัสนั่งกลับ มีโทริอิอันใหญ่ยักษ์ตั้งอยู่กลางถนนหน้าศาลเจ้าเลย

ด้วยสภาพจราจร (แน่ะ อ้างรถติด) และความเพลิดเพลินส่วนตัว (นี่สิที่แท้ทรู) จึงทำให้ 1-day trip ในเกียวโตะก็เก็บพ้อยต์ได้ประมาณแค่นี้แหละ แต่ก็ครบ 3 แบบ 3 สไตล์ (ทั้งวัดพุทธ ปราสาท และศาลเจ้า) ซึ่งถ้ายังรู้สึกว่าไม่อิ่มเลย แวะมาต่ออีกซักวัน 2 วันสิคะ เพราะเกียวโตะยังมีสถานที่ท่องเที่ยวดีๆ อีกเยอะแยะมากมาย … ยิ่งถ้ามีโอกาสได้เช่าชุดกิโมโน มาใส่เดินเล่นเตาะแตะเข้ากับบรรยากาศดี๊ดี ก็จะยิ่งเลิศไปอีกแบบ เค้ามีให้เช่าทั้งหญิงและชายเลยค่ะ เช่ากันยังงัย ดูบล็อกนี้ต่อได้เลย

http://travelismylifeblog.blogspot.com/p/blog-page_7.html http://travelismylifeblog.blogspot.com/p/blog-page_8.html    

1-day trip เกียวโตะ

https://www.facebook.com/Travelismylifeblog/

 Visit MsKapolo shop on Etsy.com

Booking.com

http://www.shutterstock.com/g/tipwam?rid=3993592

http://www.shutterstock.com/?rid=3993592

http://submit.shutterstock.com/?ref=3993592

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น