มิสกะโปโล และ ทิปิจัง ขอนำเสนอ บล็อกประสบการณ์ท่องเที่ยว ทั้งในและต่างประเทศ ที่จะแบ่งปันเรื่องราวดีๆ ให้กับเพื่อนๆ ทุกท่านที่สนใจค่ะ

10 พฤศจิกายน 2559

สะพานคินไทเคียว Iwakuni, Yamaguchi


อิวาคุนิ (岩国) เป็นเมืองเล็กๆ ทางติ่งด้านตะวันออกเฉียงใต้ของจังหวัดยามากุจิ ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกของเกาะใหญ่ฮอนชู มีประชากรอาศัยอยู่เพียงแสนห้าเศษๆ เท่านั้น ในสมัยเอโดะเคยเป็นเมืองตัวแทนแห่งศักดินา โดยมีหลักฐานคือปราสาทอิวาคุนิ ที่ปัจจุบันยังคงตั้งเด่นอยู่บนยอดเขา และบ้านเรือนของเหล่าซามุไรยุคนั้นในบริเวณสวนคิคโค

นิทรรศการย่อมๆ ต้อนรับผู้มาเยือนตั้งแต่ที่ JR Iwakuni station

ที่นี่อยู่ใกล้กับฮิโรชิมะมากกว่าตัวเมืองจังหวัดยามากุจิเสียอีก ถ้านั่งรถไฟมาถึงสถานีอิวาคุนิแล้ว สามารถต่อรถบัสประมาณ 15 นาที ก็ไปยังจุดหมายปลายทางที่ขึ้นชื่อที่สุดของอิวาคุนิ (และยิ่งขึ้นชื่อมากๆ ในหน้าซากุระ)  คือ สะพานไม้คินไทเคียวนั่นเอง สะพานไม้แห่งนี้มีโครงสร้าง 5 โค้งน่าสนใจมาก สร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อหลายร้อยปีมาแล้ว ในสมัยคิคคาวะ ฮิโรโยชิ ผู้ปกครองอิวาคุนิรุ่นที่สาม (รูปปั้นของท่านตั้งอยู่ที่หน้าทางเข้าสวนคิคโค หลังเดินข้ามสะพานคินไทเคียวมา) โดยนำไม้มาสานขัดกันแบบไร้ตะปูยึดเหนี่ยวใดๆ ตั้งบนต่อม่อหินข้ามแม่น้ำนิชิคิ แล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1673 ส่วนเหตุผลที่ต้องสร้างแบบนี้ เพราะกระแสน้ำในแม่น้ำนิชิคิเชี่ยวมาก โครงสร้างแบบอื่นพิสูจน์แล้วว่าพังทลายหมดจริงๆ ด้วยความคิดก้าวหน้าของท่านคิคคาวะ และความปราดเปรื่องด้านวิศวกรรมโยธาของผู้คนยุคนั้น จึงได้ผลงานชิ้นโบว์แดงออกมาแบบนี้

https://www.facebook.com/Travelismylifeblog/

Booking.com


สะพานไม้ Kintaikyo 5 โค้งอันเลื่องชื่อ

แต่แม้จะทนทานต่อกระแสน้ำเชี่ยวกรากได้ดีเยี่ยม ในปี ค.ศ. 1950 ก็มิอาจต้านแรงไต้ฝุ่นลูกใหญ่ได้ จึงล้มครืนลงมาอีกครั้งหนึ่ง พอถึงตอนนั้นด้วยสภาพเศรษฐกิจยุคหลังสงคราม ที่ไม่เอื้อต่องบในการทำนุบำรุงสิ่งก่อสร้างทางประวัติศาสตร์นัก สะพานอายุนับหลายร้อยปีที่พังถล่มลงมาจึงตกอยู่ในสภาพเช่นนั้นต่อไป จนภายหลังชาวเมืองช่วยกันสร้างขึ้นใหม่ ด้วยโครงสร้างที่มั่นคงยิ่งกว่าเดิม และเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1953 จากนั้น ค.ศ. 2004 ก็ซ่อมใหญ่อีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่ซ่อมเพราะพังแล้ว หากเป็นการรักษาและทำนุบำรุงตามรอบ ซึ่งก็ใช้งบประมาณไปไม่น้อยเลยทีเดียว ดังนั้นจึงขอความร่วมมือจากนักท่องเที่ยว ช่วยอุดหนุนค่าข้ามสะพานแห่งนี้ด้วย นอกจากนี้ยังมีตั๋วคอมโบ ซึ่งรวมค่าข้ามสะพาน ค่าโรพเวย์ขึ้นลงเขา และค่าเข้าปราสาทเป็นเซ็ทด้วยค่ะ

 Find MsKapolo and Behind-The-Design-Story on Facebook

Ropeway สู่ยอดเขาอันเป็นที่ตั้งของ Iwakuni Castle

พาขึ้นโรพเวย์นั่งกระเช้าไปเยี่ยมชมปราสาทอิวาคุนิ บนยอดเขาชิรายามะที่สูงจากตัวเมืองข้างล่างประมาณ 200 เมตรกันต่อนะ หลังเหาะมาถึงสถานีปลายทางอย่างรวดเร็วแล้ว ยังต้องเดินต่ออีกพอสมควร (และเป็นทางขาขึ้น) จึงจะถึงทางเข้าปราสาทนะจะบอกให้ (ขอหอบแป๊บสิ) ปราสาทอิวะคุนินี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1608 ช่วงต้นสมัยเอโดะ บนชัยภูมิป้องกันข้าศึกที่ใช้ได้ทีเดียว ทั้งยังมีคูเมืองตามธรรมชาติจากแม่น้ำนิชิคิล้อมรอบอีก ใช้เวลาก่อสร้างถึง 5 ปีเต็ม แต่เมื่อสร้างเสร็จผ่านไปเกือบ 7 ปีก็มีคำสั่งจากโชกุนให้รื้อปราสาททิ้งซะอย่างนั้น (ตามบทบัญญัติในกฎหมาย ให้มีเพียงหนึ่งปราสาทในหนึ่งจังหวัดเท่านั้น) ที่เห็นในปัจจุบันเป็นตัวปราสาทสีขาวสี่ชั้นนี้ คือที่สร้างใหม่แล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1962 อันคงทนถึงปัจจุบันด้วยโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก ภายในปราสาทจัดแสดงอาวุธซามุไรโบราณ เรื่องราวของเมืองอิวาคุนิและปราสาทในอดีต รวมถึงสะพานของเมืองอิวาคุนิ เปรียบเทียบกับอีกหลายสะพานขึ้นชื่อทั่วญี่ปุ่น

 ป้ายนี้บอกว่า ยังไม่ถึง เดินต่อสินะ

 ปราสาท Iwakuni สีขาว

ชุดเกราะซามุไรโบราณที่จัดแสดง

 สะพานไม้คินไทเคียวก็มี

วิวเมือง Iwakuni สวยๆ จากบนปราสาท

กลับมายังภาคพื้นดินอีกครั้ง เพื่อเก็บตกของดีๆ ที่มีให้ดูชมในบริเวณสวนคิคโคแห่งนี้ หนึ่งในนั้นคืองูขาว หรือชิโรเฮบิ ว่ากันว่างูขาวเป็นงูท้องถิ่น ที่จะพบเห็นได้เฉพาะที่อิวาคุนิเท่านั้น โดยมีศูนย์กลางตรงแถบแม่น้ำนิชิคิตอนล่างตัดกับแม่น้ำอิมาซึ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เขาสรุปกันว่า เป็นเพราะอุณหภูมิในแถบนี้สูงกว่าที่อื่นประมาณ 2-3 องศาในช่วงฤดูหนาว นั่นเอง และที่สวนคิคโคนี้ก็เป็นแหล่งอนุรักษ์งูขาวที่สำคัญแห่งหนึ่ง ถึงขนาดที่ทางการยกให้เป็นสมบัติพิเศษของชาติ

ป้ายเข้าชมสวนงู น่ารักไปมั้ย

 เลื้อยมาเชียว

งูขาวจะนำโชคดีมาให้ จริงหรา

โดยตรงข้ามกับทางขึ้นโรพเวย์จะมีสวนงูขาวขนาดย่อม (ย่อมมากจริงๆ คือเป็นห้องสี่เหลี่ยมขนาดไม่กี่ตารางเมตรเท่านั้น) ภายในมีงูขาวยั้วเยี้ยให้ชมอยู่ภายในตู้กระจกไม่กี่ตัวหรอก แต่ก็ยังอุตส่าห์จัดแสดงนิทรรศการต่างๆ เพื่อให้ความรู้แก่ผู้มาเยือนได้อย่างน่าประทับใจ เช่น สอนว่าทำไมงูชนิดนี้จึงมีสีขาว และลูกงูที่เกิดจะมีสีอะไรได้บ้าง (เป็นภาษาญี่ปุ่น) เป็นต้น ราคาค่าเข้าแสนถูกเพียง 100 เยน ถือเป็นค่าความรู้ที่ไม่แพงเลย และงูขาวยังเป็นสัญลักษณ์ของเบนเทน หรือเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่ง ร่ำรวยปัญญา อีกทั้งในญี่ปุ่นยังเชื่อด้วยว่า งูขาวจะนำโชคดีมาให้แก่ผู้พบเห็น นอกจากนี้ในสวนคิคโคยังมีศาลเจ้าใหญ่ หมู่บ้านซามุไรสมัยเอโดะ และน้ำพุเต้นระบำหลากหลายไว้ให้เพลิดเพลินด้วยค่ะ

หน้าทางเข้าศาลเจ้าใหญ่เมืองอิวาคุนิ


น้ำพุเต้นระบำในสวนคิคโค

มาถึงเรื่องอาหารการกินบ้าง ที่อิวาคุนินี้ขึ้นชื่อเรื่องซุชิสูตรพิเศษ เรียกว่าอิวาคุนิซุชิ ซึ่งไม่ได้ปั้นเป็นก้อนกลมๆ หรือม้วนในห่อสาหร่ายเหมือนที่อื่น แต่จะเป็นซุชิทรงสี่เหลี่ยม ซึ่งวิธีทำก็ไม่ซ้ำใคร คือเขาจะนำส่วนผสมต่างๆ ได้แก่ ข้าวชั้นดีจากแถบอิวาคุนิเนี่ยแหละ ไข่สับเป็นเส้นๆ เห็ดชีตาเกะ ผักต่างๆ ปลาหมัก และที่ขาดไม่ได้คือรากบัว มาปรุงรสและจัดวางเป็นชั้นๆ ให้เรียบร้อยในแม่พิมพ์ จากนั้นตัดแบ่งเป็นก้อนสี่เหลี่ยมพร้อมเสริฟ สมัยก่อนถือเป็นอาหารเหลาขึ้นโต๊ะเจ้านายเลยละ และด้วยหน้าตาเย้ายวนพร้อมกลิ่นเปรี้ยวนิดๆ เตะจมูก ชวนให้น้ำลายสอมากค่ะ

 อร่อยมาก Iwakuni Sushi

อันนี้ไม่ได้ชิม ขอถ่ายกับป้ายก็พอ

นอกจากนี้ในระยะหลัง อิวะคุนิยังขึ้นชื่อเรื่องไอศครีมแบบซอฟต์เสริฟด้วย แค่เพียงย่านเล็กๆ แถบนี้ ก็พบเห็นร้านซอฟต์ครีมไม่ต่ำกว่า 3 ร้านแล้ว แต่ละร้านแข่งกันผลิตซอฟต์ครีมออกมาเป็นสิบเป็นร้อยรสชาติ บางรสก็ดูคุ้นอยู่ แต่หลายรสก็แนวแปลกประหลาดใช่น้อย เสียดายที่อิ่มอิวาคุนิซุชิจนท้องพองแล้ว … ใครมาแวะแถวนี้ฝากชิมแทนด้วยนะ


http://travelismylifeblog.blogspot.com/p/blog-page_7.html http://travelismylifeblog.blogspot.com/p/blog-page_8.html    


https://www.facebook.com/Travelismylifeblog/

 Visit MsKapolo shop on Etsy.com

Booking.com

http://www.shutterstock.com/g/tipwam?rid=3993592

http://www.shutterstock.com/?rid=3993592

http://submit.shutterstock.com/?ref=3993592

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น