ในจังหวัดโออิตะซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกของเกาะคิวชู มีเมืองหนึ่งชื่อน่ารักว่า เบบปุ (Beppu) เป็นเมืองอองเซนที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น เนื่องจากปริมาณน้ำแร่อองเซนเอ่อล้นมากมาย (เทียบกับบรรดาเมืองอองเซนทั้งหลายทั่วประเทศ) แถมยังมีหลากหลายมากประเภท ทั้งน้ำพุร้อน โคลนร้อน และทรายร้อน นานาชนิด โดยในเมืองเบบปุจะแบ่งเขตอองเซนออกเป็น 8 เขตด้วยกัน เรียกว่าเบบปุฮัทโต แต่ละเขตมีสปารีสอร์ตและเรียวคังชื่อดังมากมาย
แต่ที่จะพาทัวร์ในบล็อกนี้ ไม่ใช่อองเซนปกติทั่วไป หากแต่เป็นขุมนรกน้ำพุร้อน หรือจิโกคุ ที่มีไว้ดูชมมากกว่าจะลงไปแช่เล่น และมีหลายขุมมาก ที่จัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและมีตั๋วเข้าชมเป็นแพ็จ ประกอบด้วยนรก 8 ขุม (ถ้าเข้าชมเพียงบางขุมก็ซื้อตั๋วแยกได้) โดย 6 ขุมอยู่ใกล้กันในเขตคันนาวะ และอีก 2 ขุมห่างออกไปในเขตชิบาเซคิ การเดินทางไปเยือนยังนรกแต่ละขุมนี้เรียกว่า จิโกคุเมกุริ สามารถใช้บริการ one-day pass ขึ้นลงรถบัสได้หลายรอบไม่จำกัด ในวันเดียวอึดๆ หน่อยก็เที่ยวครบหมดทุกขุมค่ะ
และขอยกนิ้วให้กับการออกแบบเส้นทางชมนรกขุมต่างๆ นี้จากใจจริง เพราะแม้แต่นักท่องเที่ยวที่ไม่ประสา ก็มั่นใจได้ว่าหากเพียงเริ่มต้นนั่งรถบัสไปลงยังนรกขุมแรกได้สำเร็จ จะสามารถเดินทางถึงขุมต่อๆ ไปได้ครบถ้วนแน่นอน เนื่องจากทันทีที่จบขุมแรก ที่ทางออกจะพบลูกศรนำทางไปยังขุมถัดไปชัดเจน หรือหากเป็นขุมที่อยู่ใกล้กัน ตรงทางออกจะพบประตูสู่ขุมถัดไปทันที … ประมาณว่านรกไม่ปล่อยให้หลุดรอดไปได้ง่ายๆ 555
เขตคันนะวะ
เริ่มต้นที่นรกขุมแรกใกล้กับสถานีรถบัสคันนาวะ ป้ายบอกทางสู่นรกขุมแรกนี้ใหญ่โตชัดเจนมาก ชนิดที่เรียกว่าถ้าหลงก็แย่แล้ว โดยนรกขุมนี้มีชื่อว่าอุมิจิโกคุ (海地獄) หรือนรกทะเล เป็นบ่อน้ำพุร้อนลึก 200 เมตรสีฟ้าเหมือนน้ำทะเล อันเป็นผลเนื่องจากภูเขาไฟระเบิดเมื่อ 1200 ปีก่อน ซึ่งจริงๆ ทิปิจังว่ามันดูสวยงามมากกว่าชื่อนรกที่ฟังดูน่ากลัวอีกนะ ที่นี่นอกจากทะเลสีฟ้าเดือดกลิ่นตุ่ยๆ แล้ว ยังมีสระบัวและพืชเมืองร้อนมาปลูกให้ดูชม แสดงถึงความร้อนใต้พิภพที่นำมาใช้ประโยชน์ จนสิ่งมีชิวิตต่างถิ่นสามารถเจริญเติบโตได้เป็นอย่างดี
เริ่มต้นที่นรกขุมแรกใกล้กับสถานีรถบัสคันนาวะ ป้ายบอกทางสู่นรกขุมแรกนี้ใหญ่โตชัดเจนมาก ชนิดที่เรียกว่าถ้าหลงก็แย่แล้ว โดยนรกขุมนี้มีชื่อว่าอุมิจิโกคุ (海地獄) หรือนรกทะเล เป็นบ่อน้ำพุร้อนลึก 200 เมตรสีฟ้าเหมือนน้ำทะเล อันเป็นผลเนื่องจากภูเขาไฟระเบิดเมื่อ 1200 ปีก่อน ซึ่งจริงๆ ทิปิจังว่ามันดูสวยงามมากกว่าชื่อนรกที่ฟังดูน่ากลัวอีกนะ ที่นี่นอกจากทะเลสีฟ้าเดือดกลิ่นตุ่ยๆ แล้ว ยังมีสระบัวและพืชเมืองร้อนมาปลูกให้ดูชม แสดงถึงความร้อนใต้พิภพที่นำมาใช้ประโยชน์ จนสิ่งมีชิวิตต่างถิ่นสามารถเจริญเติบโตได้เป็นอย่างดี
ป้ายสู่นรกขุมแรก ใหญ่โตไม่มีหลง
ต้มไข่ในนรกเดือดสีฟ้า
เห็นศาลเจ้าอยู่ที่อีกฟากหนึ่ง
ขุมที่สองที่อยู่ถัดมาคือ โอนิอิชิโบซุจิโกคุ (鬼石坊主地獄) เป็นนรกโคลนเดือดปุ๋งๆ กระเด็นกระดอนปุดขึ้นมา หน้าตาเหมือนศีรษะเกรียนๆ ของพระสงฆ์ (โบซุ坊主) น่าสนใจดีเหมือนกัน อีกทั้งวิวทิวทัศน์ของฉากภูเขา ที่มองเห็นได้ชัดเจนบนเส้นทางสู่นรกขุมนี้ก็สร้างความตื่นเต้นไม่แพ้กัน
โคลนเดือดปุดๆ เลย
จัดสวนและมุมพักผ่อนได้บันเทิงดีแท้
ขุมที่สามคือ ยามะจิโกคุ (山地獄) หรือนรกภูเขา ซึ่งก็คือควันเดือดกลิ่นตุ่ยๆ ที่ลอยละล่องออกมาเตะจมูก จากตามซอกมุมของภูเขา โดยส่วนตัวทิปิจังคิดว่ามันไม่ค่อยตื่นเต้นนัก ในขณะที่สวนสัตว์ของบรรดาสิ่งมีชีวิตเขตร้อนและอบอุ่น เช่น นกฟลามิงโก ช้าง สิงโต ลิงชิมแพนซี และฮิบโป เป็นต้น ดูจะเป็นงานอดิเรกที่น่าสนใจสำหรับเจ้านรกขุมนี้ ขนาดที่โบรชัวร์โฆษณายังยกเรื่องสวนสัตว์ ให้เป็นเอกลักษณ์ประจำขุมด้วยซ้ำ
ควันฉุยๆ ออกมาตามซอกหลืบภูเขา
สวนสัตว์เขตร้อนในนรกขุมที่สาม
ขุมที่สี่คือ คามาโดะจิโกคุ (かまど地獄) หรือนรกหม้อไฟ หม่ำๆ ซึ่งชูตัวเอกเป็นหม้อ (คามาโดะ かまと) ที่เหล่ายักษ์พ่อครัวตัวเล็กตัวน้อยใช้ปรุงอาหาร (ถ้าเป็นที่บ้านเราก็กระทะทองแดงล่ะค่ะ) สำหรับทิปิจังนรกขุมนี้ดูน่ารักน่าเอ็นดู เพราะมีบรรดายักษ์ตัวน้อยเป็นเพื่อนเล่นตลอดทางทำให้ไม่เหงา และนอกเหนือจากการเดินเล่นชมวิวชิลๆ ยังมีจุดทดสอบอุณหภูมิที่เดือดพลุ่งพล่านของนรกขุมนี้ให้ลองอีกด้วย
กับบรรดาสมุนและลิ่วล้อ
นั่งพัก สปาเท้า ชิลเลย
มาทดสอบอุณหภูมิเดือดกัน
ร้อนมากมาย
ไข่ต้มสดๆ ร้อนๆ เลย
ยักษ์โอนิตัวน้อย น่ารักที่สุด
ขุมที่ห้าคือ โอนิยามะจิโกคุ (鬼山地獄) หรือนรกยักษ์ภูเขา ซึ่งเกี่ยวข้องอะไรกับจระเข้ ก็ไม่แน่ใจนัก แต่เอาเป็นว่าสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ที่ไม่ค่อยถูกกับอากาศหนาวซักเท่าไหร่ สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้สบายๆ ภายในนรกขุมนี้ ทั้งจระเข้แบบ crocodile (ถิ่นกำเนิดแถบมาเลเซีย อินเดีย) alligator (ถิ่นกำเนิดแถบอเมริกาใต้) และ gavial (ถิ่นกำเนิดแถบอินเดีย) จนผู้คนตั้งชื่อเล่นให้อีกชื่อหนึ่งว่า วานิจิโกคุ (วานิ แปลว่าจระเข้)
ขุมที่หกซึ่งเป็นขุมสุดท้ายในแถบคันนาวะนี้คือ ชิราอิเคะจิโกคุ (白池地獄) หรือนรกบ่อน้ำสีขาว ซึ่งภายหลังจากการระเบิดของภูเขาไฟ เมื่ออุณหภูมิและความดันค่อยๆ ลดลง สารประกอบในดินก็เปลี่ยนบ่อน้ำให้กลายเป็นสีขาวครีมอมฟ้านิดๆ ตามธรรมชาติ และทิปิจังคิดว่า นรกสีครีมน้ำนมในบรรยากาศศาลาและสวนญี่ปุ่นแห่งนี้ ดูมีระดับและหรูหราที่สุดในบรรดาขุมนรกทั้งหมดที่ผ่านมา นอกจากนี้น้ำแร่จากบ่อน้ำสีขาวนี้ ยังใช้เลี้ยงและเพาะพันธ์ปลาเขตร้อนอีกหลายชนิด
คั่นด้วยอบนึ่งอองเซน และชมวิวเอกลักษณ์ของเบบปุ
เสร็จจากภารกิจการเยือนนรกทั้ง 6 ขุมในแถบคันนาวะนี้แล้ว ทิปิจังขอพักเอาแรงมื้อเที่ยง แถบนรกบ่อน้ำสีขาวนิดนึงนะ จากนั้นก็เปลี่ยนบรรยากาศมาเดินเล่น ชมวิถีชีวิตของผู้คนและบ้านเรือนแถบนั้นเล็กน้อย ก่อนเริ่มตะลอนทัวร์นรกอีก 2 ขุมที่เหลือ โดยแวะโฉบไปยังโรงนึ่งนรก หรือจิโกคุมุชิโคโบ ซึ่งเป็นสถานประกอบอาหารนึ่ง โดยอาศัยไอร้อนจากน้ำแร่อองเซนแถบนี้ และเปิดต้อนรับผู้มาเยือนที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์ ทดลองปรุงอาหารนึ่งอองเซนฝีมือตนเอง ตามด้วยการชื่นชมทัศนียภาพบ้านเรือนบนไหล่เขาที่ลดหลั่น และเห็นควันร้อนปุ๋งๆ ลอยละล่องออกจากอาคารบ้านเรือนที่ลำเลียงน้ำแร่อองเซนมาใช้ประโยชน์ กลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวประจำเมืองเบบปุไปเสียแล้ว
เสร็จจากภารกิจการเยือนนรกทั้ง 6 ขุมในแถบคันนาวะนี้แล้ว ทิปิจังขอพักเอาแรงมื้อเที่ยง แถบนรกบ่อน้ำสีขาวนิดนึงนะ จากนั้นก็เปลี่ยนบรรยากาศมาเดินเล่น ชมวิถีชีวิตของผู้คนและบ้านเรือนแถบนั้นเล็กน้อย ก่อนเริ่มตะลอนทัวร์นรกอีก 2 ขุมที่เหลือ โดยแวะโฉบไปยังโรงนึ่งนรก หรือจิโกคุมุชิโคโบ ซึ่งเป็นสถานประกอบอาหารนึ่ง โดยอาศัยไอร้อนจากน้ำแร่อองเซนแถบนี้ และเปิดต้อนรับผู้มาเยือนที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์ ทดลองปรุงอาหารนึ่งอองเซนฝีมือตนเอง ตามด้วยการชื่นชมทัศนียภาพบ้านเรือนบนไหล่เขาที่ลดหลั่น และเห็นควันร้อนปุ๋งๆ ลอยละล่องออกจากอาคารบ้านเรือนที่ลำเลียงน้ำแร่อองเซนมาใช้ประโยชน์ กลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวประจำเมืองเบบปุไปเสียแล้ว
บรรยากาศควันปุ๋ยๆ จากซอกหลืบบ้านเรือนในเมืองเบบปุ ฉากหลังเป็นภูเขาสวยมากๆ
เขตชิบาเซคิ
เอาละ หวนคืนสู่ทัวร์ขุมนรกอีก 2 ขุมที่เหลือ ต่อรถบัสเล็กน้อยไปยังเขตชิบาเซคิ จนมาถึงนรกขุมที่เจ็ดคือ จิโนะอิเคะจิโกคุ (血の池地獄) หรือนรกบ่อเลือด ซึ่งทำให้ทิปิจังร้องว้าว เพราะเป็นนรกสีแดงฉานที่ขึ้นกล้องที่สุดในบรรดาทั้งหมด ส่วนสาเหตุที่เป็นสีแดงขนาดนี้ ก็เพราะดินแดงแถวนี้นั่นเอง ถือเป็นนรกตามธรรมชาติที่เก่าแก่ที่สุดในบันทึกของบุงโกะ และว่ากันว่าแร่ธาตุแถบนี้ช่วยรักษาโรคผิวหนังได้ดีนักเชียว
ขุมที่แปดสุดท้ายแล้วอยู่ติดๆ กันนี้เอง ได้แก่ ทัทสึมาคิจิโกคุ (龍巻地獄) ซึ่งเป็นนรกน้ำพุร้อนที่ไม่อยู่นิ่ง แต่จะเดือดพุ่งพล่านขึ้นมาเอง (ย้ำว่าตามธรรมชาติ) ทุกๆ 30-40 นาที และเมื่อพุ่งขึ้นมาครั้งหนึ่ง จะคงเดือดพุ่งอยู่อย่างนั้น 6-10 นาที จนกว่าจะหมดแรงอ่อนตัวและสงบนิ่งไป หากใครคิดว่านี่คือเกเซอร์ของเก๊ล่ะก็ ต้องอ่านป้ายที่ปักอยู่ด้านหน้าของนรกเดือดนี้เสียก่อน เพราะเขาเขียนอธิบายไว้อย่างดี (เป็นภาษาญี่ปุ่น) เกี่ยวกับปรากฏการณ์ตามธรรมชาตินี้ และเนื่องจากต้องรอเวลาให้เดือดพุ่งพล่านขึ้นมาเอง โดยมิอาจบังคับได้ ภายในนรกแห่งนี้จึงจัดเตรียมอัฒจรรย์เพื่อรองรับผู้มาเยือน ที่มากระจุกตัวรวมกันทุกๆ ครึ่งชั่วโมงนั่นเอง
ได้เวลาเปิดสวิชต์แล้วท่านผู้ชม
ไม่ใช่นะ อันนี้ของจริงตามธรรมชาติ อ่านซะ
บัดนี้ การตะลอนทัวร์นรกทั้งแปดขุมก็จบลงเรียบร้อย ส่วนตัวของทิปิจังคิดว่า แม้ทัวร์นรกเหล่านี้จะจัดแสดงได้ดูเหมือนของเก๊เพื่อการท่องเที่ยวไปซักนิด แต่ความร้อนใต้พิภพและปรากฏการณ์ตามธรรมชาติที่ได้ชมนั้นเป็นของจริงแท้แน่นอน หากมองในมุมกลับกัน ก็นึกชมเชยในความพยายาม นำเสนอเรื่องราวที่เป็นปกติตามธรรมชาติ แต่อาจไม่ปกตินักในชีวิตประจำวัน นำมาเผยแพร่ให้ความรู้แบบเข้าใจง่าย และสะดวกสบายดี ... โดยเฉพาะสำหรับนักท่องเที่ยวเวลาน้อย
ข้อมูลเพิ่มเติม จิโกคุเมกุริ
เวลาเปิดทำการ 8:00-17:00
วันหยุด ไม่มี
ค่าเข้าชม แห่งละ 550 เยน หรือ 2100 เยนเมื่อเหมาทั้ง 8 แห่ง
การเดินทาง นั่งรถบัสของบริษัท คาเมโนอิ สาย 5, 7, หรือ 9 จากป้ายหน้าสถานี JR Beppu ทางประตูตะวันตก ใช้เวลาประมาณ 15 นาที ลงที่ป้ายคันนาวะ และสามารถเดินเที่ยวขุมนรกทั้ง 6 ในเขตคันนะวะได้ครบ จากนั้นต่อรถบัสสาย 16/16A ซึ่งวนเป็นวงกลม เชื่อมป้ายคันนาวะ ไปยังชิบาเซคิ สถานีรถไฟ JR Kamegawa และ Beppu ในขณะที่สาย 26/26A จะวิ่งเป็นวงกลมเช่นกัน แต่ในทิศทางตรงกันข้าม ตั๋วรถบัสแบบเหมา 1 วันของคาเมโนอิ ราคา 900 เยน สามารถซื้อได้โดยตรงกับคนขับรถบัสค่ะ
เวลาเปิดทำการ 8:00-17:00
วันหยุด ไม่มี
ค่าเข้าชม แห่งละ 550 เยน หรือ 2100 เยนเมื่อเหมาทั้ง 8 แห่ง
การเดินทาง นั่งรถบัสของบริษัท คาเมโนอิ สาย 5, 7, หรือ 9 จากป้ายหน้าสถานี JR Beppu ทางประตูตะวันตก ใช้เวลาประมาณ 15 นาที ลงที่ป้ายคันนาวะ และสามารถเดินเที่ยวขุมนรกทั้ง 6 ในเขตคันนะวะได้ครบ จากนั้นต่อรถบัสสาย 16/16A ซึ่งวนเป็นวงกลม เชื่อมป้ายคันนาวะ ไปยังชิบาเซคิ สถานีรถไฟ JR Kamegawa และ Beppu ในขณะที่สาย 26/26A จะวิ่งเป็นวงกลมเช่นกัน แต่ในทิศทางตรงกันข้าม ตั๋วรถบัสแบบเหมา 1 วันของคาเมโนอิ ราคา 900 เยน สามารถซื้อได้โดยตรงกับคนขับรถบัสค่ะ
ตัวอย่างทริปคิวชู 7 วัน + side trip 2 วัน
1-day trip ฟุคุโอคะ
พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ ฉบับฟุคุโอกะ
เที่ยวศาลเจ้าดาไซฟุ
บนรถไฟสาย Aso Boy
สวนสันติภาพแห่ง Nagasaki
8 ขุมนรกร้อนๆ ที่เบบปุ
หิมะแรกแสนโรแมนติคที่ยุฟุอิน
ชิลๆ ที่ Sakurajima, Kagoshima
อองเซนทรายร้อนที่ Ibusuki, Kagoshima
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น