บล็อกนี้มากันที่ภูมิภาคโทโฮขุ ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ หรืออีสานของเกาะใหญ่ฮอนชูนั่นเอง ภูมิภาคนี้ประกอบด้วย 6 จังหวัดด้วยกัน ซึ่งที่ดังๆ และรู้จักกันดีก็คือจังหวัดมิยากิ ที่มีเซนไดเป็นเมืองศูนย์กลางและที่มีชื่อเสียงที่สุด แต่มาเที่ยวกับทิปิจังทั้งที ก็ต้องไปซอกแซกยังเมืองรอง แต่เต็มไปด้วยเสน่ห์สินะ และสถานที่ๆ ทิปิจังจะพาตะลอนเดินทางไปต่อไปนี้ ได้แก่วัดบนเขาวิวสวย ยามาเดระ (Yamadera) ซึ่งอยู่ในเขตจังหวัดเพื่อนบ้านของมิยากิ คือยามากาตะ (Yamagata) ที่อยู่ถัดไปทางทิศตะวันตกนั่นเอง
ถึงสถานี JR Yamadera แล้ว มีวิวภูเขาสวยต้อนรับแต่ไกล
วัดยามาเดระ หรือที่บางคนก็เรียกกันเองว่า วัดบันไดพันขั้น (เดี๋ยวมานับกัน) เป็นวัดเก่าแก่ที่มีอายุกว่าพันปีแล้ว ความหมายตามตัวอักษรก็คือวัดบนภูเขา (ยามะ 山แปลว่าภูเขา ส่วนเทระหรือเดระ 寺 แปลว่าวัด) ซึ่งเรียกง่ายและสื่อได้ชัดเจนยิ่งกว่าชื่อเต็ม คือ วัดโฮจุซัง ริชชะคุจิ เสียอีก นอกจากนี้วัดนี้ยังมีชื่อเสียง เนื่องจากเป็นสถานที่ที่ท่านกวีไฮคุ (โคลงกลอนแบบหนึ่งของญี่ปุ่น) คนดัง อย่างท่าน มัตสึโอะ บะโช ได้เคยแวะเวียนมาเยือนเมื่อครั้งอดีต และได้ฝากไฮคุลือชื่อ ที่พรรณนาถึงธรรมชาติงดงามของแถบนี้ ไว้ตามหินสลักที่ตั้งเรียงรายบนทางขึ้นลงเขานั่นเอง ซึ่งถือเป็นสมบัติของชาติอย่างหนึ่งด้วย
มานับกันค่ะ พันขั้นจริงมั้ย
การเดินทางไปยังยามากาตะ จากโตเกียวมีรถไฟหัวกระสุนชินคันเซนมาส่งถึงที่ แต่ก็สุดอยู่แค่แถวนี้แหละ ถ้าจะต่อไปจังหวัดอื่นที่อยู่เหนือขึ้นไป เช่น อาคิตะ หรืออาโอโมริ ก็ต่อรถไฟธรรมดากันมันล่ะค่ะ หรือจากเซนไดเพื่อนบ้านทางตะวันออก ก็มีแต่รถไฟธรรมดาเช่นกัน ทั้งที่เซนไดและยามากาตะ ต่างก็เป็นเมืองใหญ่ทั้งคู่ เนื่องจากภูมิประเทศแถบนี้มันภูเขาทั้งนั้นเลย สมชื่อจังหวัดจริงๆ (ยามะ แปลว่าภูเขา) จะลงทุนสร้างรถไฟความเร็วสูงเพิ่มเติม ต้นทุนก็สูงเป็นพิเศษสินะ คงต้องคำนวณความคุ้มทุนให้แน่ใจชัวร์ๆ ก่อน
เผอิญว่าตอนนี้ ทิปิจังมาอยู่ที่เมืองเซนไดแล้ว การเดินทางไปยังยามาเดระ จึงไม่มีตัวเลือกอื่นนัก นอกจากใช้บริการรถไฟ JR สายเซนซัง (仙山 ซึ่งเซน 仙หมายถึงเซนได และซังหรือยามะ 山 หมายถึงยามากาตะ) เพื่อเดินทางสู่สถานียามาเดระ ซึ่งเป็นสถานีก่อนถึงตัวเมืองยามากาตะเพียงเล็กน้อย โดยรถไฟที่โดยสารครั้งนี้ เป็นรางเดี่ยวค่ะ วิ่งไม่เร็วแต่ก็ไม่ช้า ระหว่างทางมีลอดอุโมงค์ผ่าทะลุภูเขามากมาย แถมยังเปิดหวูดเป็นพักๆ ให้บรรยากาศชนบทที่สุด แต่ก็สวยงามแบบที่เห็นได้ไม่บ่อยนัก จากเครือข่ายรถไฟในเมืองใหญ่ ทำให้ทิปิจังรู้สึกเหมือนได้นั่งบนรถไฟสายโรแมนติกงั้นเลย (ทิปิจังยกให้เป็นเอง)
ในบรรดาอุโมงค์ที่ลอดผ่านมาตลอดทั้งเส้นทางนั้น มีที่ยาวมากจนน่าระทึกใจสุดๆ ประมาณรถไฟวิ่งฉึกฉัก 5 นาทีเห็นจะได้ (คิดเล่นๆ ถ้าวิ่งที่ความเร็ว 60 km/hr ก็คงราวๆ 4.5-5 km) และเมื่อพ้นอุโมงค์ยาวและมืดตึ๊บออกมาปุ๊บ ก็จะได้พบกับปรากฏการณ์หยดน้ำเกาะกระจายเต็มกระจกรถไฟ เนื่องจากมีแหล่งละอองน้ำจากน้ำตกอยู่ใกล้ๆ นั่นเอง และก็เป็นสัญญาณที่บอกให้ทราบว่า ใกล้ถึงสถานีที่หมายแล้ว
พบกับอารามแห่งแรก คมปงชูโด
มีพิธีกรรมพอดี ต้องเงียบๆ หน่อย
ชิคาระ คอนยาคุ เพิ่มพลังเตรียมลุย!!
จากนั้นก็เข้าสู่โหมดไฮกิ้งเต็มรูปแบบ จากพื้นที่ราบหน้าสถานีค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นอย่างใจเย็น เมื่อพ้นบันไดชุดแรกขึ้นมา ก็จะพบกับอารามแห่งแรก คือคมปงชูโด ซึ่งเป็นหนึ่งในบรรดาวัดวาและอารามอีกกว่า 40 แห่ง บนภูเขายามาเดระลูกนี้ ให้เราไม่ใช่แค่หยุดโอ้เอ้เพื่อรวบรวมกำลังใจก่อนเอาจริง แต่ยังสามารถเสริมกำลังกายด้วยของว่างท้องถิ่น จากร้านขายของละแวกนั้น คือ หัวบุบ หรือ คอนยาคุ ปั้นเป็นก้อนกลมขนาดพอดีคำ (ใหญ่) เสียบไม้เหมือนลูกชิ้น ต้มกับซีอิ้วจนดำเมี่ยม มีชื่อเรียกเฉพาะว่า ชิคาระ คอนยาคุ ซึ่งคำว่า ชิคาระ แปลตรงตัวหมายถึงพละกำลัง เป็นนัยว่าถ้าได้กินเจ้าหัวบุบนี้แล้ว ถึงจะมีกำลังเพียงพอให้ไต่ขึ้นเขา … เอ๊ะ นี่ขู่กันขำๆ ใช่มั้ย
เอากับเขาสิ ให้หัวบุบจอมพลังผ่านลงท้องไปเรียบร้อย อร่อยแบบเค็มๆ กันไป แล้วก็ก็ถึงเวลาไต่ขึ้นวัดกันแล้ว ในสมัยโบราณผู้คนเชื่อกันว่า หินผาใหญ่หน้าตาดังที่ยามาเดระแห่งนี้ เป็นเสมือนเส้นแบ่งระหว่างโลกนี้กับโลกหน้า จึงถือว่าทุกๆ ย่างก้าวที่พากเพียรขึ้นสู่ยอดยามาเดระนั้น จะช่วยขจัดกิเลสทางโลกให้เบาและจางลง หรือก็คือเข้าใกล้บรรลุธรรมมากขึ้นนั่นเอง ได้ยินดังนี้แล้วก็สู้ๆ สิคะ เดินขึ้นเขาผ่านป่าสนต้นไม้สูงชะลูด และหินผาก้อนใหญ่ดูแปลกตา ผ่านรูปปั้นรูปสลักหินโดโซจิน และจิโซ ที่ห้อมล้อมด้วยผ้าสีและเครื่องบูชามากมาย ทำให้ได้แอบอู้เก็บภาพสวยระหว่างทางทุกระยะ
หินผาธรรมชาติแปลกตา และต้นสนสูงชะลูด
ป้ายสลักหิน และป้ายไม้บูชา เต็มไปหมด
มุมนี้ก็สวย ขออู้แพร้บ
นับขั้นบันไดจริงจังอยู่ดีๆ พอได้วี้ดว้ายถ่ายรูปก็เผลอลืมนับต่อซะงั้น ทิปิจังจึงนับจำนวนขั้นบันไดได้อย่างไม่ค่อยประติดประต่อเท่าไรนัก ประมาณๆ เอาก็น่าจะพันขั้นจริงละมั้ง (เดี๋ยวขาลงขอแก้ตัวนะคะ) และแม้ยิ่งสูงก็ยิ่งสวย แต่สำหรับทิปิจัง แค่เพียงขั้นที่ 8 ร้อยนิดๆ (ประมาณเอา) เมื่อมาถึงอารามไคซันโด และโกไดโด ซึ่งเป็นอารามบนชะง่อนผาที่ยื่นออกไป ก็นับว่าสวยสุดๆ แล้ว (และน่าจะเป็นไฮไลท์สำหรับช่างภาพทั้งหลาย) สามารถชมวิวอันงดงามของเมืองยามาเดระได้เต็มตา และเป็นข้ออ้างให้ขี้เกียจไต่ต่อขึ้นไปอีก 2 ร้อยกว่าขั้นถึงโอคุโนะอินข้างบนสุดนู่น ฝากคนอื่นไปแทนแล้วค่อยนำตัวเลขมาบวกกัน ถือเป็นหนทางประหยัดพลังงานช่วยลดโลกร้อน อิอิ
ขั้นที่ 8 ร้อยกว่าๆ มุมนี้แหละ ไฮไลท์เลย
วิวตัวเมืองข้างล่างก็สวยงาม
จากชะง่อนผา มองกลับไป บนสุดนู่นต้องไต่อีก 2 ร้อยขั้นนะ สู้ๆๆ
ข้างบนสุดมีตู้ไปรษณีย์ด้วย ไต่มาไม่ถึงไม่ได้ส่งจดหมายนะ รู้ยัง
เพียงพอแล้วก็ได้เวลาขาลง ทิปิจังขอแก้ตัวนับขั้นให้แน่ใจอีกครั้ง เดินลงฉับๆ แบบนี้จึงนับได้ต่อเนื่องและไม่ติดขัด ถึงมีลืมบ้างตอนเผลอหยุดถ่ายรูป แต่ก็ยังกู้คืนได้ทัน จึงมั่นใจได้แล้วว่า จำนวนขั้นบันไดทั้งหมดรวมทุกขั้นจากพื้นถนนขึ้นมาจนสูงสุด เกินหนึ่งพันขั้นจริงๆ และเมื่อลงมาถึงพื้นราบ ขาทั้งสองข้างของทิปิจังงี้สั่นพั่บๆ เลยค่ะ … ก็แหงสิคะ แค่วัดเดียววันนี้ ได้ออกแรงขึ้นลงเท่ากับความสูงตึก 50 ชั้นเชียวนะ … แข็งแรงนะ จะบอกให้
ไต่บันไดพันขั้น (Yamadera)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น