เที่ยวเมืองมัตสีโมโตะกันต่อนะคะ เป้าหมายอันดับต้นๆ สำหรับผู้มาเยือนมัตสึโมโตะ ก็คือ ปราสาทไม้มัตสึโมโตะ หรือมัตสึโมโตะโจ นั่นเอง จากสถานีรถไฟ JR เดินเอาแค่ 15 นาทีก็ไปได้ค่ะ แต่ถ้านั่งรถบัสไปก็ทุ่นแรงดีเหมือนกันนะ ไม่ถึง 5 นาทีเองค่ะ อิอิ ทำให้ทิปิจังแรงเหลือเยอะ เลยจะพาเดินสำรวจปราสาทจากภายนอกโดยรอบ จนครบ 1 รอบใหญ่ก่อนละกัน ด้านนอกก็มีอะไรให้ดูชมนิดๆ หน่อยๆ รวมถึง บ่อน้ำสำคัญตั้งแต่อดีต ซึ่งมีน้ำใสแจ๋วเป็นน้ำจากหิมะละลายจากเทือกเขาเจแปนแอลป์ ไว้ให้บริการชาวบ้านชาวเมือง หลงเหลือเป็นอนุสรณ์ในเมืองเล็กๆ แห่งนี้อยู่หลายบ่อทีเดียว (แต่ละบ่อก็เล็กกระทัดรัดเชียว)
ปราสาทสีดำมัตสึโมโตะ
พร้อมแล้วก็เข้าไปสำรวจภายในปราสาทไม้สีดำนี้เลยค่ะ ค่าเข้าชมคนละ 6 ร้อยเยนตามมาตรฐานค่าเข้าชมปราสาท (ไม่รู้มาตรฐานแค่ไหน แต่ไปมาหลายที่ก็ราคาประมาณนี้ 555) เดินลอดผ่านประตูกำแพงปราสาทขนาดใหญ่ยักษ์ แล้วมาหยุดอยู่ตรงเบื้องหน้าปราสาทไม้สีดำ ที่ยังคงสมบูรณ์ น่าเกรงขาม และสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น อีกทั้งยังคงเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วยการเป็นปราสาทที่ปลูกสร้างบนที่ราบ หรือเรียกว่า ฮิไรจิโระ (hirai jiro) แทนการปลูกสร้างบนภูเขาหรือที่สูงแบบปราสาทอื่นๆ
ก่อนก้าวข้ามธรณีประตูสู่ด้านใน ต้องปฏิบัติตามกฎกติกา ว่าด้วยการถอดรองเท้าเก็บใส่ถุงพลาสติกและถือติดตัวไป ทั้งนี้เนื่องจากภายในปราสาทไม้โบราณนี้ ยังคงรักษาสภาพเมื่อครั้งอดีตไว้อย่างสมบูรณ์ มิได้แปลงสภาพเป็นอาคารพิพิธภัณฑ์สมัยใหม่ดังเช่นที่อื่นๆ หลายที่ จึงขอความร่วมมือจากนักท่องเที่ยว ให้มีส่วนช่วยในการรักษาโบราณสถานสำคัญ ซึ่งถ้าใครมาเยือนในช่วงหนาวๆ รู้ตัวล่วงหน้าแบบนี้แล้ว ให้เตรียมถุงเท้าหนาๆ อุ่นๆ มาด้วยนะคะ
ข้างในเป็นพื้นไม้ดั้งเดิม
ปีนบันไดกันจริงจัง
นิทรรศการที่จัดแสดงต่างๆ นานา
ช่องธนู ช่องเทหินร้อน ระหว่างทาง
การได้มีโอกาสสัมผัสกับบรรยากาศแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น ภายในปราสาทไม้โบราณเช่นนี้ คุ้มมากๆ เลยค่ะ เพราะทั้งหอหลัก เทนชุ (tenshu) และหอรอง อินุอิโคะเทนชุ (inuikotenshu) ที่อยู่ติดกันนั้น เก่าแก่ขนาดที่เริ่มสร้างมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1592 กระทั่งเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1614 และหลังจากที่บ้านเมืองเริ่มสงบสุข ในปี ค.ศ. 1635 หอชมจันทร์ สึคิมิยากุระ (tsukimi yagura) ซึ่งเป็นป้อมปราการหลังที่ 3 ก็ถูกสร้างเพิ่มเติมขึ้นมา ส่วนทางเชื่อมหอหลักเทนชุ กับหองรองอินุอิ ก็เรียกว่ากว่าจะเดินถึงกันได้ ก็วกวนหลายซับหลายซ้อนทีเดียว อีกทั้งยังมีช่องธนูและช่องเทหินร้อนกระจายให้เห็นอยู่ทั่ว แต่ไม่ต้องกังวลว่าจะหลงนะ เพราะมีลูกศรชี้บอกตลอดทาง
ปราสาทไม้โบราณแห่งนี้ยังมีลักษณะพิเศษอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งถ้ามองจากภายนอกจะไม่มีทางรู้เลย เพราะหอหลักเทนชุ และหอรองอินุอิ ที่ภายนอกเสมือนว่าสูงเพียง 5 และ 3 ชั้นนั้น แท้จริงมี 6 และ 4 ชั้นตามลำดับ เนื่องจากมีชั้นลับๆ ที่ใช้เป็นคลังเสบียงและอาวุธซ่อนอยู่ โดยไม่มีหน้าต่างให้เห็นร่องรอยเลยแม้แต่น้อย
อู๊ยยย เพดานสูง บันไดเริ่มชัน เสียวเหมือนกันแฮะ
นอกจากนี้ ชั้น 5 ของหอหลักเทนชุ ยังแตกต่างจากชั้นอื่น เพราะจากที่ต้องก้มๆ ย่อๆ มาตลอด เมื่อถึงชั้นนี้กลับสร้างเพดานไว้สูงถึง 4 เมตรครึ่ง ซึ่งก็ช่วยให้หายใจหายคอได้คล่องขึ้นมากเลยล่ะ แต่บันไดขึ้นชั้น 6 ซึ่งเป็นชั้นบนสุดนี่สิ ชันสุดๆ เลยจ้า ตอบรับกับความสูงของเพดานชั้น 5 ทำให้ปีนขึ้นลงจะออกอาการหวาดเสียวเล็กน้อย และที่ต้องสร้างให้ยากๆ ลำบากๆ เช่นนี้ ก็เนื่องจากตรงนี้เป็นด่านสุดท้ายแล้ว ก่อนที่ศัตรูจะบุกถึงตัวเจ้านายและไดเมียวนั่นเอง … แต่ทิปิจังก็ไม่แน่ใจนะ ว่าพอตอนไดเมียวจะหนีลงมา มันจะหนียากด้วยหรือเปล่า (หรือท่านจะใช้บริการนินจาพาเหาะหนีแทน นินๆๆๆๆๆ)
ได้เห็นการออกแบบเพื่อรับมือข้าศึกศัตรูเช่นนี้แล้ว ก็ทำให้นึกถึงภาพการต่อสู้ของเหล่าซามูไร แบบที่เคยเห็นในละครย้อนยุคญี่ปุ่น ยิ่งเมื่อได้เห็นเสื้อเกราะของจริง และภาพที่ฝ่ายหญิงช่วยกันโม่กระสุนดินดำ เพื่อป้อนให้บรรดานักรบ ที่จัดแสดงไว้ ก็ยิ่งยุส่งจินตนาการอันเร่าร้อนของทิปิจัง ให้มันร้อนแรงยิ่งขึ้นไปอีก … ก่อนจะกลับสู่โลกแห่งความจริง … ตรงทางออก และสวมรองเท้า ไปเที่ยวที่อื่นต่อ 555
บนเส้นทางตะลอนทัวร์ Snow Wall
พาชมปราสาทสีดำ Matsumoto Castle
เที่ยวเมืองจิจิบุ (Pink moss & White water boating)วน 1 รอบทะเลสาบคาวากุจิโกะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น