My travel diary: 4 สถานที่เที่ยวที่ Noboribetsu

ห่างจากซัปโปโรไปทางตะวันตกเฉียงใต้ แบบที่นั่งรถไฟด่วนก็ประมาณ 75 นาที มีเมืองอองเซนเล็กๆ แห่งหนึ่ง ที่ใครก็ตามที่เดินทางจากซัปโปโรไปยังฮาโคดาเตะ (เมืองท่าทางสุดติ่งใต้สุดของเกาะฮอกไกโด ก่อนจะมุดอุโมงค์ไปขึ้นที่เกาะฮอนชู) จะต้องผ่าน นั่นก็คือเมืองโนโบริเบทสึ Noboribetsu เมืองอองเซนรีสอร์ตที่มีชื่อเสียงที่สุดบนเกาะฮอกไกโด และเป็นที่ตั้งของหุบเขานรกหรือจิโกะคุดานิ Jigokudani แหล่งกำเนิดน้ำแร่ร้อนๆ และเป็นส่วนหนึ่งของอุทยาน Shikotsu-Toya National Park นั่นเอง

ฤดูร้อนที่ฮอกไกโด พอตกเย็นถึงมืดค่ำ อากาศก็เย็นดีเหมือนกัน ถ้าจะเข้าอองเซนก็ได้อยู่หรอกนะ แต่โนโบริเบทสึไม่ได้มีดีแค่อองเซน ที่เที่ยวอื่นๆ ที่น่าสนใจก็มีไม่น้อยเช่นกัน ทริปนี้ทิปิจังจะพาไปเยี่ยมชม 4 สถานที่เที่ยวน่าสนใจในละแวกนี้ ตามมาเลยค่ะ

https://www.facebook.com/Travelismylifeblog/

Booking.com

1. ลงรถไฟที่สถานี JR Noboribetsu แล้วต่อรถบัสขึ้นเขา ใช้เวลาประมาณ 15 นาที มาลงที่ป้าย Noboribetsu Onsen ก็จะพบกับสถานีกระเช้า ropeway ที่จะพาขึ้นไปยังสวนหมี Noboribetsu Bear Park บนยอดเขานู่นแน่ะ สวนหมีแห่งนี้เป็นแหล่งอนุรักษ์พันธุ์หมีสีน้ำตาล ที่ใกล้จะสูญพันธุ์และหาดูได้ยาก บ้านเกิดของเจ้าหมีเหล่านี้ก็คือแถบหนาวๆ อย่างไซบีเรีย และฮอกไกโดนั่นเองแหละค่ะ กรงตัวผู้กับตัวเมียเค้าจับแยกกันนะ โซนที่มีแม่หมีอยู่รวมกันเยอะๆ เราสามารถชมได้จากไกลๆ และซื้อขนมมาโยนป้อนหมีได้เช่นกัน (สังเกตุท่าหมีขอขนมที่ถูกต้อง จะยกมือขวา และกระดกเท้าซ้าย อุต๊ะ มันก๊อบปี้มาเหมือนกันทุกตัวเลย) แต่ถ้าอยากป้อนถึงปากเลยก็มีแยกมาอีกโซนนึง ซึ่งจะได้ใกล้ชิดแบบมีกระจกกั้นมิดชิด ใส่ขนมลงท่อด้านบนส่งถึงปากหมีพอดี ดีกว่าเสี่ยงป้อนไม่ลงปาก แล้วโดนหมีโมโหหิวตะปบเอานะค้า 555

2. นั่งโรพเวย์ลงจากสวนหมี ก็ได้เวลาไต่เขาด้วย 2 เท้าขึ้นไปชมหุบเขานรก จิโกะคุดานิ Jigokudani ซึ่งดูน่าจะเหนื่อยมากกว่าน่ากลัวซะอีก (ต้องเดินขึ้นเขา) ระหว่างทางผ่านศาลเจ้าที่มีรูปปั้นของท่านเอ็นมะไดโอ (เป็นผู้ตัดสินว่าวิญญาณของใคร สมควรขึ้นสวรรค์หรือลงนรก ในการ์ตูนเรื่องดราก้อนบอล ท่านก็เล่นด้วยนะ อิอิ) และรูปปั้นยักษ์โอนิสีเขียวแดงพร้อมกระบองอันเป้งดักอยู่หลายจุด เล่นเอาต้องปาดเหงื่อ (เพราะเหนื่อย ไม่ใช่กลัว) อยู่เหมือนกัน จนถึงปากประตูนรกนั่นแหละ ถึงได้มีควันสีขาวพวยพุ่งมาต้อนรับ พร้อมกลิ่นกำมะถันตุ่ยๆ โชยมาจากบ่อน้ำพุร้อน บ่อโคลนเดือด และรอยแยกตามชั้นหินต่างๆ เส้นทางไฮกิ้งมีสะพานไม้ให้เดินชมวิวได้สะดวก เพลินดีทีเดียว

จากตรงนี้ ถ้ายังมีแรงและเวลาเหลือพอ ไปต่อให้ถึงทะเลสาบโอยุนุมะ Oyunuma ทะเลสาบน้ำเดือดที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็ได้นะ ขึ้นเขาอีกแค่กิโลกว่าๆ เกือบ 2 โลเท่านั้นเอง อิอิ (นั่งรถบัสไปก็ได้) แต่ทิปิจังขอตัวก่อนนะ ภารกิจเยอะค่ะ

3. จากป้าย Noboribetsu onsen นั่งรถบัสไปต่อที่จุดหมายปลายทางถัดไป คือ โนโบริเบทสึ ดาเตะ จิไดมุระ Noboribetsu Date Jidaimura หรือหมู่บ้านเอโดะย้อนยุค เป็นธีมพาร์คที่มีทั้งนินจา ซามูไร พ่อค้า และหญิงงาม เดินกันขวักไขว่ ในหมู่บ้านโบราณ เหมือนในหนังญี่ปุ่นย้อนยุคนั่นแหละ (คล้ายๆ กันที่นิคโคก็มี) พอดีวันที่ไปฝนตก ต้องกางร่มเดินเที่ยว ชาวบ้านชาวเมืองเลยไม่ค่อยออกมาเดิน นักท่องเที่ยวก็หาที่หลบฝนกันไป เลยเน้นโชว์ที่จัดแสดงในร่มเป็นหลักค่ะ ใครไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นก็ดูรู้เรื่อง บางโชว์พากย์อังกฤษแบบขำๆ ให้เข้าใจได้ง่ายๆ และสนุกดีค่ะ

4. ที่สุดท้าย เที่ยววันเดียวไม่พอซะแล้ว ต้องยกยอดไปเป็นของเช้าอีกวัน นั่งรถไฟต่ออีกนิดไปลงที่สถานี JR Shiraoi แล้วเดินอีกประมาณกิโลนึง ซึ่งก็ ok อยู่เพราะเป็นทางราบ และอากาศไม่ร้อน (ฟ้าครึ้มๆ พอไปถึง ฝนตกอีกละ เฮ้อ ลงมาปรอยๆ แต่ก็เปียกแหละ) มาถึงหมู่บ้านไอนุ Ainu Village & Museum ซึ่งเป็นชนเผ่าพื้นเมืองดั้งเดิมบนเกาะฮอกไกโด ก่อนที่ญี่ปุ่นจะขยายอาณาเขตมาถึงแถวนี้ ที่นี่มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Porotokotan ซึ่งในภาษาไอนุ แปลว่าหมู่บ้านริมทะเลสาบ Poroto ในบ้านหลังคามุงหญ้าฟางแบบโบราณแต่ละหลัง มีจัดแสดงข้าวของในชีวิตประจำวันของชาวไอนุ และหลังใหญ่สุดมีการแสดงเต้นชนเผ่าให้ชมด้วย (หนึ่งในนั้นคือบทสวดส่งวิญญาณหมี แหม่)

ก็เที่ยวกันประมาณนี้แหละค่ะ เด๋วต้องนั่งรถไฟย้ายเมืองกันต่อละ แต่ถ้าใครยังพอมีเวลา และทุนทรัพย์เหลือเฟือ ตรงสถานี JR Noboribetsu มีสิ่งก่อสร้างคล้ายปราสาทยุโรปสวยๆ คือ Marine Park Nixe ซึ่งก็คืออะแควเรียมจัดแสดงสัตว์น้ำ และสวนสนุก แต่ทิปิจังเห็นค่าเข้าแล้วขอบายดีกว่า กลัวต้องอยู่นานให้คุ้มค่าเข้าน่ะค่ะ อิอิ