มิสกะโปโล และ ทิปิจัง ขอนำเสนอ บล็อกประสบการณ์ท่องเที่ยว ทั้งในและต่างประเทศ ที่จะแบ่งปันเรื่องราวดีๆ ให้กับเพื่อนๆ ทุกท่านที่สนใจค่ะ

18 มีนาคม 2561

นกรู้แห่งอ่าวมัทสึชิมะ


แม้จะโดนแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ และทสึนามิถาโถมใส่ ในเดือน มี.ค. ปี 2011 แต่อ่าวมัทสึชิมะ (Matsushima) ที่ตั้งอยู่ทางชายฝั่งตะวันออกของจังหวัดมิยากิ (Miyagi) ห่างจากตัวเมืองเซนได (Sendai) แค่ครึ่งชั่วโมง ซึ่งเป็นจุดที่น่าจะโดนถล่มเต็มๆ ก็รอดพ้นจากความเสียหายใหญ่มาได้ เนื่องจากสภาพภูมิประเทศ ที่เป็นแนวเกาะแก่งเรียงตัวขวางไว้ ช่วยลดระดับความรุนแรงลงนั่นเอง แหล่งท่องเที่ยวต่างๆ จึงสามารถเปิดทำการได้ หลังจากนั้นเพียงไม่กี่สัปดาห์


แม้ว่าสเน่ห์มัดใจในเรื่องอาหารทะเลสดๆ ของภูมิภาคโทโฮะคุ ที่เป็นคาบสมุทรติดชายฝั่งทะเลเช่นนี้ จะสั่นคลอนไปบ้างหลังเกิดเหตุการณ์ แต่ก็ไม่ได้ทำให้มัทสึชิมะ ตกหล่นจากอันดับ 1 ใน 3 ของทัศนียภาพงดงามที่สุดในญี่ปุ่น หรือ Nihonsankei เลยนะคะ (ส่วนอีกสองแห่ง คือ มิยาจิมะ Miyajima ที่ฮิโรชิมะ และอามาโนะ ฮาชิดาเตะ Amano Hashidate ที่เกียวโตะ นั่นเอง)

ทางหนีทีไล่ เวลาเจอทสึนามิ (ป้ายนี้มีมาก่อนปี 2011 นะคะ)

 Find MsKapolo and Behind-The-Design-Story on Facebook

https://www.facebook.com/Travelismylifeblog/

Booking.com

ด้วยเวลา 1 วันเต็มเช่นนี้ ทิปิจังจะพาไปสำรวจตลาดปลานิดนึง เพื่อทวงบัลลังคืนให้กับอาหารทะเลสดๆ ย่านนี้ ก่อนไปล่องเรือเที่ยวอ่าวมัทสึชิมะกัน โดยไม่ได้ไปไกลถึงตลาดปลาที่ Kesennuma ทางตอนเหนือเกือบสุดเขตจังหวัด Miyagi หรอก เอาแค่ไม่ไกลนักจากตัวเมืองเซนได คือที่ตลาดปลา Shiogama ในเมือง Shiogama ที่แปลตรงตัวว่าเมืองถังเกลือ ก็พอแล้วค่ะ แล้วก็ไม่ไกลจากมัทสึชิมะด้วย

ของสดมากมาย @Shiogama Fish Market

ที่แปรรูปแล้วก็มากมี รวมทั้งลูกชิ้นปลา sasakamaboko

จากเซนได เรานั่งรถไฟมาลงที่สถานี Higashi-Shiogama เพื่อไปเยือนตลาดปลาบนพื้นที่ใหญ่โตเกือบ 5 พันตารางเมตร ซึ่งตลาด Shiogama นี้เป็นตลาดปลาที่โหลดทูน่าสดๆ ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นเชียวนะ แถมยังเป็นแหล่งผลิตลูกชิ้นปลา kamaboko ชนิดพิเศษที่หอมกลิ่นใบไผ่ (ใครมาเที่ยวเซนไดต้องลิ้มลอง) เรียกว่า Sasakamaboko (sasa แปลว่าใบไผ่) รวมถึงบริเวณที่มีร้านซุชิแสนอร่อย หนาแน่นเป็นอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นอีกด้วย ทำให้แม้ไม่ได้ตื่นแต่ไก่โห่ มาลุ้นชมประมูลทูน่าแบบที่ตลาดปลาทสึคิจิ แต่ก็ทำให้ทิปิจังได้เดินไปชิมไป จนอิ่มแปร้สบายพุงไปเลย

หอยเม่นสดใหม่ พร้อมชิม ช้อนพร้อม

จะเหยาะน้ำจิ้ม ก็มีให้นะ

อิ่มแล้วก็ตะลุยกันต่อค่ะ นั่งรถไฟต่ออีกแค่สถานีเดียว มาลงที่สถานี Hon-Shiogama แล้วเดินต่ออีก 10 นาที ก็ถึง Marina Gate ซึ่งเป็นอาคารคอมเพล็กซ์ขนาดย่อมๆ และท่าเรือ ซึ่งอันที่จริงก็มีหลายเส้นทางให้เลือกล่องเรือกันนะ แต่ทิปิจังเลือกเลียนแบบเส้นทางของท่านมัทสึโอะ บาโช กวีไฮคุ (โคลงกลอนแบบหนึ่งของญี่ปุ่น) ในตำนาน คือออกจากท่าเรือที่ Shiogama นี้ แล้วล่องไปตามอ่าว จนไปจบลงที่ท่าเรือในเมือง Matsushima นั่นเอง ใช้เวลาประมาณ 50 นาที

อาคาร Marina Gate


อิ่มกันอีกครั้ง แบบสดใหม่ ก่อนนั่งเรือยาวๆ ไป @Marina Gate

เตรียมพร้อมขึ้นเรือ

ล่องมาได้แป๊บๆ จากท่าเรือที่ Shiogama ซึ่งก็ยังไม่มีเกาะแก่งให้ดูชมมากนัก จะมีนกนางนวลบินโฉบมาคว้าข้าวเกรียบกุ้ง จากมือผู้โดยสารใจบุญ หรือถ้าใครจะพร้อมเสริฟกลางอากาศ พวกมันก็ควงสว่านทะยานงาบไปได้อย่างแม่นยำ แม้แต่ชิ้นที่ตกน้ำไปแล้ว ยังอุตส่าห์ตาเฉียบคมมาก ตามไปเก็บขึ้นมาหม่ำๆ ได้ โอ้โห เจ้าพวกนี้มันนกรู้จริงๆ ที่ติดตามเรือของพวกเรามาตั้งนานสองนาน ก็เพื่อรอจังหวะอันโอชะนี้เอง … คงอร่อยกว่าหาปลากินเองสินะ ปรุงรสให้เรียบร้อย ผงชูรสเต็มท้องแหง

ตามมาทำไม?

โฉบจากมือเลย แบบนี้นี่เอง

จากนั้นเมื่อถึงประมาณกลางๆ ทาง เสบียงจากผู้โดยสารใจบุญเริ่มหมด เจ้านกเองก็แสนฉลาด รู้ดีไปหมดทุกอย่าง ลำนี้เสบียงหมด ก็แปรพักตร์หนีเลย ไปผูกมิตรกับอีกลำที่สวนมาจากฝั่งตรงข้ามแทน เรียบร้อยโรงเรียนนก 555 และพอบรรดานกรู้หายไปเกลี้ยงมุด ผู้โดยสารก็ค่อยมีสมาธิ กลับมาชื่นชมกับความงามของหมู่เกาะกันเสียที

เริ่มชมเกาะแก่งแบบมีสมาธิ

เกาะแก่งต้นสน

นกรู้ที่รออยู่ระหว่างทาง

อันนี้ภาพโปสการ์ดเลย

ตรงอ่าวแถวนี้เต็มไปด้วยหมู่เกาะต้นสน (มัทสึ แปลว่าต้นสน) น้อยใหญ่กว่า 200 เกาะ สวยงามจริงๆ เลย แต่เด็กรุ่นใหม่อย่างเราๆ คงไม่ซึมซับความสุนทรีย์ได้เท่ากับนักเดินทางในอดีตหรอกนะ (เพราะมัวแต่สนใจป้อนข้าวนก) โดยเฉพาะท่านบาโช ที่ขนาดบรรยายเป็นบทกลอนไฮคุ ที่ยาวกว่าบทกลอนอื่นๆ แล้ว ก็ยังพ้อว่าไม่สามารถแจกแจงความงามของอ่าวมัทสึชิมะได้ครบถ้วน

ใกล้ถึงท่าเรือที่มัทสึชิมะแล้ว เห็นวิหาร Godaido อยู่ด้านขวามือ

ท่าเรือที่เมืองมัทสึชิมะ

https://www.facebook.com/Travelismylifeblog/

 Find MsKapolo and Behind-The-Design-Story on Facebook

เผลอแป๊บๆ ก็มาถึงท่าเรือปลายทาง ที่เมืองมัทสึชิมะแล้ว ตัวเมืองมัทสึชิมะเล็กนิดเดียวเอง สถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่อยู่ในระยะเดินถึง เริ่มจากที่อยู่เลียบติดชายฝั่ง ก็เช่น โกะไดโด (Godaido) ซึ่งเป็นวิหารบนเกาะเล็กๆ และอัดแน่นด้วยผู้คน (เพราะโลเคชั่นดีและเข้าฟรี) จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของมัทสึชิมะไป

แผนที่รอบอ่าวมัทสึชิมะ

ทางขึ้น Godaido

จาก Godaido เห็นวิวสะพานแดง Deaibashi สวยๆ แบบนี้

วิหาร Godaido

ถัดไปทางฝั่งตะวันออก คือเกาะ Fukuura ที่โดดเด่นด้วยสะพานแดงยาว 252 เมตร เค้าว่าถ้าคู่รักได้เดินข้ามสะพานนี้ด้วยกัน จะรักกันยืนยาว จึงได้ชื่อว่าเดไอบาชิ (Deaibashi) แปลว่าสะพานแห่งการได้มาพบกันนั่นเอง (แต่มีค่ารักกันยืนยาวเป็นค่าข้ามสะพานเล็กน้อยนะคะ 55)

สะพานแดง Deaibashi ชัดๆ อีกครั้ง

ส่วนชายฝั่งซีกตะวันตก ใกล้กับท่าเรือที่สุด ก็คือ Kanrantei ซึ่งเป็นศาลาน้ำชาเก่าแก่ที่เจ้านครเอโดะ ได้มอบให้เป็นรางวัลแก่ท่านดาเตะมังกรตาเดียว (มีค่าเข้าเช่นกัน)

และถัดไปคือเกาะ Ojima ซึ่งก็เชื่อมกับฝั่งด้วยสะพานแดงเช่นกัน และแม้ไม่ยาวเท่าเกาะ Fukuura แต่มีดีที่ข้ามฟรี สมัยก่อนนักบวชท่านหนึ่งได้เลือกเกาะนี้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม และได้เก็บตัวบนเกาะนี้ยาวนานถึง 22 ปี โดยไม่ก้าวออกจากเกาะนี้เลย บนเกาะเล็กๆ นี้จึงพบเห็นถ้ำสำหรับนั่งสมาธิหลายแห่ง

เดินเลียบชายฝั่ง

สะพานแดง (อีกแล้ว) ข้ามไปเกาะ Ojima

เกาะ Ojima สถานที่ปฏิบัติธรรม

จากชายฝั่งลึกเข้าไปในตัวเมือง ก็ผ่านแหล่งชุมชน ซึ่งจะพบเห็นตุ๊กตามาสคอตมากมาย หลักๆ เป็นรูป ท่านบาโช กับนกนางนวล (ของใครป๊อบกว่า นับกันเองนะคะ 555) แล้วก็มี sasakamaboko ปิ้งเสียบไม้ขายปลีกหลายร้าน (แต่ทิปิจังอิ่มมาแล้วจากตลาดปลา Shiogama โดยได้มา 10 ชิ้นในราคา 1 ชิ้นแถวนี้ ซึ่งก็แจกจ่ายให้นกรู้ไปเยอะละ) และของขึ้นชื่ออื่นๆ จากย่านนี้ ไม่ว่าจะเป็น ลิ้นวัวปิ้งสดใหม่จากเตา หรือซอฟต์ครีมรสซุนดะ (sunda คือถั่วเขียวฝักบด) เป็นต้น

ท่านบาโช

นกจุ๊บจิ๊บ

ลูกชิ้นปลา sasakamaboko

ลิ้นวัวย่างสดๆ ร้อนๆ

ซอฟต์ครีมรสถั่วเขียวฝักบด (sunda)

มาถึงสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญตอนบน คือวัดซุยกันจิ (Zuiganji) ซึ่งเป็นวัดเซนที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคโทโฮคุ และอีกวัดข้างๆ กันคือวิหารเอนทสึอิน (Entsuin) ซึ่งเป็นสุสานของตระกูลท่านดาเตะมังกรตาเดียวนั่นเอง … สมควรแก่เวลา ก็โบกมือบ๊ายบาย มัทสึชิมะ และขึ้นรถไฟจากสถานี Matsushimakaigan กลับเซนไดกันค่ะ

ป่าไผ่ร่มรื่น

บรรยากาศรอบๆ วัด Zuiganji

ร้านอาหารสไตล์เก่าแก่น่าเข้า

ลานหินที่ทำให้จิตใจสงบดี ภายในวัด Entsuin



โซนร้อยลูกปัด ในวัด Entsuin

บล็อกนี้ได้มาตามรอยท่านบาโช กวีไฮคุชื่อดังทั้งที ขอจบด้วยภาษิตญี่ปุ่นสวยๆ นะคะ  “อิทเซคิ นิโช (一石二鳥)” หนึ่งก้อนหิน สองนก หรือในภาษิตไทยก็คือ ยิงกระสุนนัดเดียวได้นกสองตัว นั่นเอง (แค่เปลี่ยนจากกระสุนเป็นก้อนหิน) ซึ่งเหมาะเจาะกับเนื้อหาในบล็อกมากเลย เพราะนอกจากมาครั้งเดียวได้ล่องเรือชมวิวสวยๆ แล้ว ยังได้เลี้ยงนกเพลินไปอีกด้วย 555

http://travelismylifeblog.blogspot.com/p/blog-page_7.html http://travelismylifeblog.blogspot.com/p/blog-page_8.html    

นกรู้แห่งอ่าวมัทสึชิมะ

https://www.facebook.com/Travelismylifeblog/

 Visit MsKapolo shop on Etsy.com

Booking.com

http://www.shutterstock.com/g/tipwam?rid=3993592

http://www.shutterstock.com/?rid=3993592

http://submit.shutterstock.com/?ref=3993592

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น